วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ประเภทเพลงสำหรับเด็ก


ประเภทของเพลงสำหรับเด็กปฐมวัยเพลงเด็กมีหลายประเภทและหลายลักษณะตั้งแต่ในอดีตจนปัจจุบัน ทั้งที่มีมาแต่เดิมและมีการแต่งขึ้นใหม่สำหรับร้องเล่นทั่วไป เพื่อทำให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน ทั้งยังเป็นการอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทย ซึ่งแบ่งได้ดังนี้เพลงกล่อมเด็ก เป็นบทร้อยกรองหรือบทกลอนสำหรับกล่อมเด็กส่วนใหญ่มีเนื้อหาบรรยายชีวิต และความเป็นอยู่ที่สะท้อนถึงความเอื้ออาทรรักใคร่ผูกพันที่แม่มีต่อลูก ซึ่งจะพบเนื้อหาของเพลงแตกต่างกันไปตามท้องถิ่น ตัวอย่างเช่น เพลงกล่อมเด็กภาคอีสานว่า "แม่ไปไร่สิหมกไข่มาหา แม่ไปนาสิหาปลามาป้อน" เพลงกล่อมเด็กภาคกลาง "กาเหว่าเอย ไข่ไว้ให้แม่กาฟัก" เพลงกล่อมเด็กมักแฝงปรัชญาคำสอนไว้อย่างแยบคาย ให้คนได้คิดเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกที่ต้องให้ความรักเพลงประกอบเด็ก เป็นบทร้องร้อยกรอง / คำคล้องจอง หรือบทปลอบเด็กสำหรับร้องปลอบเด็กร้องไห้โยเยบ่อยให้เงียบ และเกิดความเพลิดเพลิน ตัวอย่างเช่น "กุ๊กๆ ไก่ เลี้ยงลูกจนใหญ่ ไม่มีนมให้ลูกกิน ลูกร้องเจี๊ยบๆ แม่ก็เรียกไปคุ้ยดิน ทำมาหากิน ตามประสาไก่เอย" เพลงปลอบเด็กนี้ จะต้องไห้เด็กฟังอย่างเดียวหรืออาจทำท่าทางประกอบด้วยก็ได้เพลงเด็กเล่นเป็นบทร้อยกรอง หรือบทร้องเล่นของเด็กที่เป็นบทกลอนสั้นๆทำนองง่าย ให้ได้ร้องเล่นเพื่อความสนุกสนาน หรือร้องล้อเลียนหยอกล้อกันเนื้อความบางส่วนอาจไม่มีความหมาย แต่มุ่งให้จังหวะคล้องจอง และสัมผัสที่ไพเราะเป็นการส่งเสริมให้เด็กเรียนรู้คำศัพท์ทางภาษามากขึ้น และฝึกนิสัยในการจำ ตัวอย่าง เช่น "ตั้งไข่ล้มต้มไข่กิน ไข่ตกดิน เก็บกินไม่ได้"บทร้องประกอบการเล่น เป็นร้องที่เป็นบทเพลงทำนองบทกลอนสั้นๆที่ร้องประกอบการละเล่น เพลงส่วนใหญ่ที่ใช้ร้องจะให้จังหวะ ให้ความพร้อมเพรียงในการเล่นเกม เนื้อเพลงบางเพลงยังอธิบายถึงวิธีการเล่นด้วย ตัวอย่างเช่น "มอญซ่อนผ้า ตุ๊กตาอยู่ข้างหลัง ไว้โน่นไว้นี้ ฉันจะตีก้นเธอ" "โพงพางเอย ปลาเข้าลอด ปลาตาบอด เข้าลอดโพงพาง" การละเล่นนี้ยังมีประโยชน์ในการออกกำลังกาย การเล่นร่วมกันการออกเสียงภาษา การรู้จักช่วยเหลือกัน และเสริมสร้างความรู้สึกสุนทรีย์จากสัมผัสคล้องจองไพเราะด้วยเพลงเด็กแต่งขึ้นใหม่ เป็นบทเพลงที่ใช้ประกอบการสอนเด็กปฐมวัยเป็นเนื้อเรื่องที่มีความหมาย และสามารถทำท่าทางประกอบร้องได้ เพื่อจูงใจให้เด็กรู้สึกสนุกสนานและเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ตัวอย่างเช่น เพลงดื่มนม เพลงเก็บของเล่น เพลงนิ้วมือจ๋า เพลงแปรงฟัน

ดนตรีช่วยแก้ปัญหาเด็กสมาธิสั้นได้จริงหรือ





ดนตรีมีประโยชน์มากมาย การฟังดนตรีทำให้เราผ่อนคลาย เพลิดเพลิน มีความสุข หากเราได้เล่นดนตรีก็ยิ่งเป็นการปลดปล่อยความเครียดที่ฝังอยู่ตามกล้ามเนื้อและเซลล์ประสาทให้ออกมากับการเล่นดนตรี ทำให้อารมณ์ดีขึ้น สามารถควบคุมอารมณ์ต่างๆ ได้ดีขึ้น ส่งผลให้ความเฉลียวฉลาดทางอารมณ์ EQ สูงขึ้น
และเมื่อเด็กเรียนดนตรี เด็กจะมุ่งความสนใจไปที่เสียงดนตรีที่ตนเองสามารถทำให้เกิดขึ้นได้ เด็กจะเกิดความภาคภูมิใจในความสามารถของตนเอง และอยากจะเล่นดนตรีต่อไปเพื่อให้เกิดเสียงที่ไพเราะขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเด็กจดจ่ออยู่กับเสียงดนตรีที่ตนเองสร้างขึ้น ช่วงความสนใจของเด็กก็จะเพิ่มมากขึ้นทีละนิด ขี้นอยู่กับทำนองเพลงที่เด็กฝึกหัด เมื่อเริ่มแรกเด็กอาจฝึกหัดเพลงพื้นฐานสั้นๆ ช่วงความสนใจของเด็กอาจอยู่ในเวลา 1-2 นาที ลำดับต่อไปเด็กได้ฝึกเพลงที่มีความซับซ้อนมากขึ้นทีละนิด เด็กก็จะมีช่วงของความสนใจเพิ่มขึ้นเป็น 3-5 นาที และจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หากเด็กชอบและรักที่จะเล่นดนตรี
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกำลังใจที่ครูผู้สอนและพ่อแม่ผู้ปกครองจะกระตุ้นให้เด็กเกิดความสนใจในดนตรีมากขึ้น การเสริมแรงจากครูและพ่อแม่ผู้ปกครอง เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดที่จะทำให้เด็กเพิ่มความสนใจในดนตรี และจะทำให้ช่วงความสนใจของเด็กเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลไปสู่การเรียนในห้องเรียน การทำการบ้าน การอ่านหนังสือ หรือการทำสิ่งต่างๆ
จากที่โรงเรียนดนตรีบ้านเก่งขิมได้สอนเด็กที่มีอาการเข้าข่ายสมาธิสั้น หรือมีช่วงความสนใจต่อสิ่งต่างๆ น้อยมาก เมื่อมาเรียนขิม เด็กหลายคนมีสมาธิดีขึ้น มีสภาวะอารมณ์ที่ดีขึ้น มีการระบายอารมณ์ออกมาในเสียงเพลงที่ตนบรรเลง ทำให้เด็กผ่อนคลายและเกิดสมาธิในการบรรเลงขิม ส่งผลให้การเรียนในห้องเรียน หรือการทำกิจกรรมต่างๆ ของเด็กประสบความสำเร็จมากขึ้นตามลำดับ
คุณพ่อคุณแม่หรือท่านผู้ปกครอง จึงควรหันมามองบุตรหลานของท่านสักนิด ว่าเด็กมีอาการใกล้เคียงเด็กสมาธิสั้นหรือไม่ หากใกล้เคียงควรปรึกษาแพทย์ หรือส่งเสริมให้เด็กเรียนดนตรี ศิลปะ ร้องเพลง เต้นรำหรือนั่งสมาธิ เพราะกิจกรรมเหล่านี้จะทำให้เด็กมีสมาธิเพิ่มมากขึ้น และหลีกเลี่ยงการให้เด็กดูโฆษณาที่มีภาพเคลื่อนไหวเปลี่ยนไปมารวดเร็ว เนื่องจากภาพเหล่านั้นจะไปกระตุ้นสมองทำให้เด็กมีภาวะสมาธิสั้นได้ง่าย
อาการสมาธิสั้นสามารถบำบัดรักษาให้ดีขึ้นได้ เพียงแค่พ่อแม่ผู้ปกครองต้องให้ความเอาใจใส่กับเด็ก พูดคุย ซักถาม ให้เวลาในการทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันกับเด็ก ไม่ดุว่าหรือตี เพราะจะทำให้เด็กจดจำประสบการณ์ที่ไม่ดี และเด็กจะไม่เข้าใจว่าเขาทำอะไรผิด เนื่องจากอาการต่างๆ มาจากความผิดปกติของสมองหรือสารเคมีของร่างกาย ซึ่งตัวเด็กเองไม่สามารถควบคุมได้ พ่อแม่ผู้ปกครองและครูจึงเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดที่สามารถช่วยให้เด็กมีอาการดีขึ้นหรือหายขาดได้เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่

ดนตรีสำหรับเด็ก



ครูผู้สอนหลักสูตรดนตรีพื้นฐานสำหรับเด็ก ซึ่งจบการศึกษามาทางดนตรีโดยตรง อธิบายถึงประโยชน์ในการเรียนดนตรีของเด็กเล็กว่า จะช่วยพัฒนาเส้นใยสมองของเด็กให้สมบูรณ์ เพราะการเรียนดนตรี ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลง เปล่งเสียง เล่นเครื่องดนตรีอย่างง่าย จะเป็นการไปกระตุ้นกล้ามเนื้อ และประสาทสัมผัสให้ได้ทำงานอย่างครบวงจร
สมองของเด็กเล็กจะพัฒนาได้ดีตั้งแต่ในครรภ์ จนถึง 5 ขวบ ผู้ปกครองจึงเห็นความสำคัญอยากให้ลูกได้รับการกระตุ้นสมองด้วยการใช้ดนตรีมาช่วย สาเหตุที่ต้องเป็นดนตรี เพราะดนตรีมีคลื่นเสียงที่สามารถกระตุ้นการรับรู้ได้ดี จะเห็นได้ว่า ตั้งแต่ลูกอยู่ในท้องแม่ก็มักจะหาดนตรีมาให้ลูกฟัง เมื่อลูกได้รับการกระตุ้นสมองก็จะส่งผลให้เด็กรู้จักการเรียงลำดับความคิด มีสมาธิ มีเหตุมีผล และทำให้เรียนหนังสือได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น

วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ดนตรีช่วยฉลาด


นักวิทยาศาสตร์อเมริกัน นำโดย นีนา ครอส นักประสาทวิทยา มหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์น รัฐอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา ค้นพบหลักฐานที่หนักแน่นชิ้นแรกที่ยืนยันว่า ดนตรีช่วยให้สมองมีพัฒนาการล้ำหน้าและช่วยให้มีหูเฉียบคมสำหรับรับฟังเสียงทุกชนิด รวมถึงเสียงพูดผลการศึกษาได้มาจากการวัดคลื่นสมองของอาสาสมัครผู้ใหญ่ 20 คน ครึ่งหนึ่งเคยฝึกเล่นดนตรีก่อนอายุ 12 ปี นานอย่างน้อย 6 ปี ที่เหลือฝึกเล่นดนตรีน้อยกว่า 3 ปี ทุกคนพูดอังกฤษเป็นภาษาแม่และไม่รู้จักภาษาจีน โดยให้ทั้งหมดดูหนัง ระหว่างนั้นปล่อยเสียงคำภาษาจีนกลางซึ่งจะเปลี่ยนความหมายไปตามระดับความสูงต่ำของเสียง 3 ระดับ พบว่า ขณะกำลังตั้งใจดูหนัง กลุ่มนักดนตรีได้ยินคำภาษาจีนที่มี 3 ระดับ ได้ดีกว่าคนที่ไม่ใช่นักดนตรีนีนา กล่าวว่า "ประสบการณ์ทางดนตรีส่งผลต่อพัฒนาการด้านอื่นๆ ในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหรือแยกแยะเสียงที่ต้องการรับฟังในห้องเรียนที่จ้อกแจ้ก ถือเป็นเรื่องผิดพลาด ถ้าโรงเรียนไหนงบน้อยแล้วเลือกยกเลิกการสอนดนตรี"
น.ส.เสาวลักษณ์ พ่วงสมบูรณ์ 48/186/1 รหัส 484186128

วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เพลงรีบไปโรงเรียน
หนูหนูเด็กๆทั้งหลายอย่านอนตื่นสายเป็นเด็กเกียจคร้าน
ตื่นเช้าจะได้เบิกบาน สดชื่นสำราญสมองแจ่มใส
อาบน้ำล้างหน้าสีฟัน รีบเร่งเร็วพลันแต่งตัวทันใด
รับประทานอาหารเร็วไวเสร็จแล้วก็รีบไปโรงเรียน
.....................................................
เพื่อนๆ มีความคิดเห็นอย่างไรกับเพลงนี้ เพราะอะไรถึงคิดอย่างนั้น

วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2553

ดนตรีช่วยสร้างเสริมพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กปฐมวัย




ดนตรีช่วยสร้างเสริมพัฒนาการ
ทางสติปัญญาของเด็กปฐมวัย
ดนตรีจะช่วยสร้างเสริมความรู้ ความเข้าใจ และมโนคติกับเด็กในเรื่องต่าง ๆ เช่น ธรรมชาติศึกษา คณิตศาสตร์ สังคมศึกษา สุขศึกษา ฯลฯ และเป็นการช่วยที่เด็กพอใจ เด็กเข้าใจและจดจำได้เอง โดยไม่ต้องมีการบังคับ เช่น บทเพลงที่เกี่ยวกับลม ฝน แมลง นก ขณะที่เด็กร้องเพลงและทำท่าเคลื่อนไหวเลียนแบบสิ่งต่าง ๆ อาทิ ลีลาเลียนแบบท่าทางของสัตว์ ท่าทางของคน ลีลาเลียนแบบการเคลื่อนไหวของเครื่องยนต์กลไกและเครื่องเล่น ลีลา เลียนแบบปรากฎการณ์ธรรมชาติ หรือลีลาตามจินตนการ ซึ่งเด็กจะมีความเข้าใจธรรมชาติของสิ่งเหล่านี้เพิ่มขึ้น หรือในขณะที่เด็กร้องเพลงนับกระต่าย นับลูกแมว นับนิ้ว เด็กก็จะได้รับความคิดในเรื่องการเพิ่ม - ลดของจำนวน การเรียงลำดับที่ ฯลฯ ซึ่งพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กปฐมวัยจะเจริญงอกงามโดยอาศัยกิจกรรม
ต่าง ๆ โดยเฉพาะกิจกรรมทางดนตรีนับเป็นกิจกรรมที่มี ความสำคัญยิ่ง
ดนตรีเป็นสิ่งแวดล้อมที่มีบทบาทสำคัญและเป็นประโยชน์สำหรับการพัฒนาทางสติปัญญาของเด็กปฐมวัย เพราะดนตรีเป็นสิ่งเร่งที่จะช่วยจูงใจให้เด็กเกิดความสบายใจ และมีความรู้สึกในทางที่ดี ซึ่งเป็นการช่วยสร้างสิ่งแวดล้อมให้มีความน่าสนใจ ทำให้เด็กเกิดความตื่นตัวในการเรียนรู้ อันส่งผลโดยตรงต่อการพัฒนาทางสติปัญญาเป็นอย่างดี
ประการสำคัญ ดนตรีจัดเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ขาดเสียมิได้ต่อการพัฒนาทางสติปัญญา โดยเฉพาะด้านสมาธิ เนื่องจากดนตรีช่วยทำให้เด็กเกิดสมาธิในการทำกิจกรรมและสามารถทำงานได้นานขึ้น ทั้งนี้เพราะเสียงดนตรี นับเป็นสื่ออย่างหนึ่งที่จะช่วยปรับสภาพอารมณ์และช่วยกระตุ้นให้เด็กเกิดสมาธิ สามารถสร้างระเบียบและควบคุมตนเองให้เหมาะสมและไม่เกิดความเครียดจนต้องหยุดชะงักการทำงาน ในขณะที่เด็กทำกิจกรรมสร้าง สรรค์ กิจกรรมการเล่นตามมุม กิจกรรมกลางแจ้ง เมื่อมีดนตรีเปิดเบา ๆ เด็กจะมีความพึงพอใจในการทำกิจกรรมท่ามกลางบรรยากาศที่มีเสียงเพลง และมีความตั้งใจพยายามทำกิจกรรม อีกทั้งยังพบว่าระยะเวลาในการทำกิจกรรมแต่ละประเภทจะยาวนานขึ้น นอกจากนี้เสียงดนตรียิ่งทำให้เด็กมีความคิดสร้างสรรค์ และมีจินตนาการในขณะทำกิจกรรมได้เป็นอย่างดี ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยดังนี้
จากการทดลองของ เลิศ อานันทนะ ( 2518 : 219) พบว่า เสียงดนตรีสามรถเสริมสร้างความคิดจินตนาการ ช่วยกระตุ้นให้มีการแสดงออกในทางสร้างสรรค์ ส่งเสริมให้มีความสัมพันธ์ระหว่างประสาทหู กล้ามเนื้อมือ ให้สอดคล้องกับการใช้ความคิด
ฉะนั้น ดนตรีจึงเป็นสื่อกลางของเด็กปฐมวัยในการพัฒนาศักยภาพ คุณค่าทางสมองและสติปัญญา เพราะดนตรีเป็นเรื่องของโสตศิลป์ที่จะพาเด็กไปสู่การรับรู้และเรียนรู้เรื่องของศาสตร์วิทยาการ ต่าง ๆ ตลอดจนความงามอย่างมีสุนทรีย์ ในที่สุดเด็กก็มีการพัฒนาการทางสติปัญญาสูงขึ้น มีคุณภาพและประสิทธิภาพนั่นเอง




เสาวลักษณ์ แสงหิรัญ 484186129 48/186/1

วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553

พัฒนาสมองลูกในท้องด้วยดนตรี


ดนตรีมีความผูกพันกับชีวิตของมนุษย์ตั้งแต่แรก เกิด เมื่อแม่ร้องเพลงกล่อมลูก ครั้นเติบโตขึ้นกิจกรรมต่างๆ เช่นการทำงาน การกีฬา พิธีกรรม ล้วนมีความสัมพันธ์กับดนตรีทั้งสิ้น กระทั่งสุดท้ายแห่งชีวิต ดนตรีก็ยังเข้ามามีบทบาท ดังนั้นดนตรีกับชีวิตมนุษย์จึงเป็นสิ่งผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้นและเอื้อ ประโยชน์ต่อกันค่ะดนตรีเพื่อพัฒนาสมอง ก็คือการใช้ดนตรีเป็นสื่อในการทำให้สมองพัฒนาและทำงานอย่างเต็มศักยภาพ และมีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะสมองเปรียบเสมือนศูนย์กลางแห่งชีวิต เมื่อพัฒนาสมองอย่างถูกต้องเหมาะสมด้วยความรู้และเข้าใจทั้งทางวิทยาศาสตร์ ศิลปะ และสุนทรียศาสตร์ ก็ย่อมจะทำให้ชีวิตของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น มีชีวิตที่มีคุณภาพและมีชีวิตที่ดีขึ้นและเนื่องจากชีวิตของมนุษย์ประกอบด้วยกายและใจ ซึ่งส่วนประกอบทั้งสองต้องอยู่ในสภาพสมดุล นั่นคือสุขภาพกายต้องสมบูรณ์แข็งแรง สุขภาพใจต้องแจ่มใสสดชื่นแข็งแรง ชีวิตจึงจะมีความสุขและดำเนินไปได้อย่างราบรื่นแต่ด้วยสภาวะแวดล้อมทางสังคม ทัศนคติที่มีต่อการเลี้ยงดูลูกในแนวเน้นให้ลูกเป็นคนเก่งโดยเฉพาะทางวิชาการ ไม่สำคัญเท่ากับการเป็นเด็กดีและมีความสุขค่ะ คิดแต่เพียงว่าวิชาการเท่านั้นจึงจะทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิตได้ การมองโลกในแง่ลบ การแข่งขัน การแย่งชิง และความเห็นแก่ตัวเอง เพื่อให้อยู่ในโลกที่ซับซ้อนในยุคของการมุ่งเน้นแต่ความเจริญทางวัตถุ ความสำเร็จในชีวิตวัดได้จากจำนวนปริมาณและการตีค่าของวัตถุ ส่งผลให้เกิดมลพิษต่อสภาวะแวดล้อมรอบตัวในสังคม เกิดมลพิษต่อชีวิตมนุษย์ ทำให้มนุษย์มีแต่ความเครียด และการแก่งแย่งชิงดีกันเพื่อความอยู่รอด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การดำเนินชีวิตตั้งแต่แรกเกิดเป็นไปในทางก่อ เกิดปัญหา ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และคุณภาพชีวิตของมนุษย์แต่นับเป็นเรื่องดีค่ะที่มีการศึกษาค้นคว้าเรื่องสมองกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เข้าใจความลึกลับซับซ้อน ตลอดจนความสำคัญของสมอง ซึ่งทุกคนมีในขนาดและน้ำหนักใกล้เคียงกัน แต่จำนวนของเซลล์สมองอาจไม่เท่ากัน ทำให้ได้เข้าใจในลักษณะของสรีระภายใน และการทำหน้าที่ควบคุมทำให้การดำเนินชีวิตเป็นไปได้อย่างสมดุล อันนำไปสู่การมองเห็นหนทางในการแก้ปัญหาของโลกและสังคมโดยรวมจากการศึกษาทำให้เรารู้ว่า เซลล์สมองของมนุษย์เริ่มพัฒนาและเพิ่มจำนวน ตั้งแต่แรกปฏิสนธิจนกระทั่งก่อนคลอด ซึ่งมีจำนวนของเซลล์สมองหรือ Neuron ประมาณร้อยล้านล้านเซลล์ทีเดียวค่ะ โดยเซลล์สมองจะมี 3 ส่วนคือ dendrite ซึ่งเหมือนนิ้วมือยื่นออกไปเพื่อรับกระแสประสาท axon ส่วนของเซลล์ที่ทำหน้าที่ส่งกระแสประสาทออกไปติดต่อเซลล์อื่นและ nucleus ของเซลล์สมอง เซลล์สมองของมนุษย์มีจำนวนใกล้เคียงกัน ไม่มีการเกิดขึ้นใหม่ ดังนั้นจำนวนของเซลล์สมองจึงมีแต่จะลดจำนวนลง ถ้าเกิดการตายหรือการสูญเสียของเซลล์สมองขึ้นส่วนการพัฒนาคุณภาพของสมองนั้น ที่ดีที่สุดคือการเพิ่มจำนวนกิ่งก้านสาขาของ dendrite ให้มาก เนื่องจาก dendrite ทำให้เกิด Brain Connections ซึ่งการเชื่อมติดต่อกันของเซลล์สมองยิ่งมีจำนวนมากเท่าไร คุณภาพของสมองจะดีขึ้นเท่านั้นค่ะ โดยเซลล์สมอง 1 ตัว สามารถเกิด Brain Connections ได้ถึง 25,000 จุด มนุษย์สามารถสร้าง dendrite ได้ตลอดชีวิต หากมีปัจจัยสำคัญต่างๆ ครบถ้วนสำหรับการพัฒนาสมอง ดังนั้นความรู้ใหม่ส่วนนี้จึงเป็นแนวทางที่สามารถจะพัฒนาคุณภาพทางสมองได้ โดยวิธีที่ถูกต้องและเหมาะสมในทุกช่วงของชีวิตได้งานวิจัยเกี่ยวกับ Aecellerate Learning ค้นพบว่า ดนตรีที่มีคุณภาพทั้งเสียงร้อง ทำนอง จังหวะ และความถี่ของเสียงจะช่วยกระตุ้นให้สมองของมนุษย์พัฒนาและทำงานได้ดี เนื่องจากทำให้เกิดการเพิ่มจำนวนของ dendrite ซึ่งเป็นส่วนของ Neuron ในการรับกระแสประสาท ยิ่งจำนวน dendrite มีมากเท่าใด การเกิด Brain Connections คือการเชื่อมโยงของเซลล์สมองต่างๆเป็นเครื่อข่าย (network) ก็จะก่อให้เกิดการทำงานที่สมบูรณ์ แข็งแรง และทรงพลานุภาพดนตรีที่เลือกสรรแล้วว่ามีคุณภาพทั้งเสียงร้อง ทำนอง จังหวะ และความถี่ของเสียงซึ่งมีผลงานวิจัยและเสนอผลงานออกมาอย่างต่อเนื่องใน มหาวิทยาลัย John Hopkins โดยมี Kenedy Kreger center ซึ่งเป็นศูนย์ทดลองวิจัยต่างๆ โดยเฉพาะในเรื่องสมองและการเรียนรู้ที่เกี่ยวกับดนตรี ซึ่งมีข้อสรุปของผลงานวิจัยโดยผู้เขียนนำเสนอตามลำดับช่วงชีวิตของมนุษย์ เริ่มตั้งแต่ทารกในครรภ์ (Prenatal) วัยทารก (Neonatal) จนถึงวัยเตาะแตะ (0-3) จากช่วงอายุ 4-8 ปี, ช่วงวัยรุ่น ผู้ใหญ่ และวัยชรา และการนำดนตรีเป็นสื่อในการจัดการเรียนการสอนให้เกิดประโยชน์สูงสุดของการ เรียนรู้สำหรับเด็กปกติ และเด็กที่มีความต้องการเป็นพิเศษเป็นตอนๆ ไปตามลำดับหัวใจหลักก็คือคุณภาพของดนตรีที่เลือกสรรแล้ว จะกระตุ้นสมองของมนุษย์ในการหลั่งสารแห่งความสุข หรือ Endorphin เพิ่ม มากขึ้นค่ะ ทำให้การทำงานของระบบต่างๆในร่างกาย เช่น ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบทางเดินหายใจ ระบบการย่อยอาหาร ระบบทางเดินปัสสาวะ ระบบสืบพันธุ์และระบบประสาท ทำงานได้ดีขึ้น ทำให้สมองได้รับออกซิเจนและอาหารอย่างเต็มที่ ดนตรีช่วยเพิ่มความจำ เพิ่มสติปัญญาและก่อให้เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ นอกจากนั้นดนตรียังสามารถช่วยให้สุขภาพของร่างกายและจิตใจสมบูรณ์ขึ้นอีก ด้วยค่ะส่วนเรื่องดนตรีเพื่อพัฒนาสมองสำหรับทารกในครรภ์นั้น เมื่อเกิดการปฏิสนธิในครรภ์มารดา ระบบประสาทส่วนกลาง คือสมองและไขสันหลังจะเริ่มพัฒนาก่อนระบบอื่นๆ ในช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของการตั้งครรภ์ ต่อจากนั้นอวัยวะและระบบการทำงานของร่างกายด้านอื่นๆ จึงเริ่มพัฒนาต่อไป ทารกในครรภ์มารดาเริ่มได้ยินเสียงแล้วเมื่ออายุครรภ์ 5 เดือน เสียงของการทำงานของอวัยวะต่างๆ ของมารดา เช่น หัวใจ ปอด การเผาผลาญอาหารและลำไส้ เสียงเหล่านี้เปรียบเหมือนวงดนตรีวงใหญ่ที่บรรเลงดนตรีกึกก้องในครรภ์มารดา และเป็นบทเพลงบทแรกๆ ของชีวิตทารกที่ได้ยินค่ะมีการทดลองโดยนำดนตรี 2 ประเภทมาให้ทารกในครภ์มารดาฟัง โดยแนบแถบบันทึกเสียงไว้กับท้องของมารดา ดนตรีประเภทแรกเป็นดนตรีคลาสสิก (Classic) บรรเลงโดยวงออเคสตร้าทั้งวง มีจังหวะความเร็วประมาณ 90-100 ครั้งต่อนาที ซึ่งมีจังหวะความเร็วใกล้เคียงกับอัตราการเต้นของหัวใจทารก และความดังของเสียงไม่เกิน 60 เดซิเบล แล้วสังเกตปฏิกิริยาของทารกจากเครื่องอัลตราซาวนด์ พบว่าทารกจะขยับแขนขาไปมามีจังหวะ พร้อมไปกับจังหวะเพลงและค่อยๆ สงบลงและดนตรีชนิดที่สองคือดนตรีประเภทฮาร์ดร็อก (Hardrock) ทำนองและความเร็วไม่สม่ำเสมอ เดี๋ยวเร็วเดี๋ยวช้า ความดังของเสียงเกิน 80 เดซิเบลขึ้นไป มีเสียงกลองตีรัวดังๆ พบว่าทารกจะขยับแขนขาอย่างไม่เป็นจังหวะ มีอาการดิ้นทุรนทุราย และไม่เกิดความสงบ ดังนั้น เสียงต่างๆ โดยเฉพาะดนตรีที่มีเสียงสูงต่ำ ดังเบา เร็วช้า เป็นต้น มีอิทธิพต่ออารมณ์ของทารกตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา จนกระทั่งลืมตาออกมาดูโลกในขณะเดียวกัน คุณแม่จะได้รับอิทธิพลของดนตรีที่ฟังด้วย การที่ได้ฟังดนตรีที่มีจังหวะความเร็วใกล้เคียงกับความเร็วของจังหวะการเต้น ของหัวใจ จะทำให้อารมณ์ของคุณแม่สงบเยือกเย็น ผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ มีสาร Endorphin หลั่งในกระแสโลหิต ทำให้ระบบต่างๆ ของร่างกายทำงานได้ดีขึ้นด้วยค่ะ



น.ส.เสาวลักษณ์ พ่วงสมบูรณ์ 48/186/1 รหัส 484186128


วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2553


คุณค่าดนตรีต่อพัฒนาการเด็กปฐมวัย


ผลจากคุณค่าของเสียงดนตรีที่มีต่อการพัฒนาทางด้านจิตใจของเด็ก นักจิตวิทยาสังคมต่างให้การยอมรับและได้กล่าวถึงคุณค่าของดนตรีไว้ว่า
1. ดนตรีก่อให้เกิดความสว่างแก่จิตใจ ( Enlightenment) 2. ดนตรีก่อให้เกิดความสุข ( Well - Being) 3. ดนตรีก่อให้เกิดความผูกพันรักใคร่ ( Affection)
ดนตรีเป็นศาสตร์ หรือวิชาที่ทำให้เด็กระดับปฐมวัยได้รับการพัฒนาทุก ๆ ด้านของการเจริญเติบโต ไม่ว่าจะเป็นความรู้ ความจำ สังคม ค่านิยม การคิดหาเหตุผล การสร้างสรรค์ การพัฒนากล้ามเนื้อ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การพัฒนาตนเองให้เข้ากับกลุ่ม หรือสภาพแวดล้อมของสังคมต่าง ๆ ดนตรีจึงน่าจะเป็นวิชาเดียวเท่านั้นที่ทำให้เด็กสนุกสนานรื่นเริงอย่างเต็มที่ ทั้งการแสดงออกทางร่างกาย ความคิด ตลอดจนพัฒนาการทางจิตใจ อารมณ์ และนอกจากนี้ ดนตรีนอกจากนี้ ดนตรียังสามารถนำไปสัมพันธ์ เชื่อมโยงหรือบูรณาการ กับวิชาการ องค์ความรู้ และกิจกรรมต่าง ๆ แก่เด็กปฐมวัยอย่างสำคัญทีเดียว ประการสำคัญดนตรีเป็นตัวจักรสำคัญที่ใช้ในการเสริมสร้างพัฒนาการด้านต่างๆ ของเด็กปฐมวัย

นางสาวสุภาภรณ์ วรรณวงค์ 484186124 หมู่เรียน 48/186/1

เพลงกับเด็กปฐมวัย


แนวทางการจัดกิจกรรมเพลงสำหรับเด็กปฐมวัยเพลงจัดเป็นสื่อการเรียนรู้ที่สำคัญต่อพัฒนาการของเด็กปฐมวัย เช่นเดียวกับการเล่นและเล่านิทาน เนื่องจากเพลงช่วยสร้างเสริมให้เด็กเกิดความเพลิดเพลินและกล่อมเกลาให้เด็กเป็นคนมีจิตใจอ่อนไหว รักเสียงเพลงและดนตรี ทำให้ผ่อนคลายอารมณ์และรู้สึกมีชีวิตชีวาในการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งปลูกฝังค่านิยมวัฒนธรรม และมีลักษณะนิสัยที่ดีงามประเภทของเพลงสำหรับเด็กปฐมวัยเพลงเด็กมีหลายประเภทและหลาย ลักษณะตั้งแต่ในอดีตจนปัจจุบัน ทั้งที่มีมาแต่เดิมและมีการแต่งขึ้นใหม่สำหรับร้องเล่นทั่วไป เพื่อทำให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน ทั้งยังเป็นการอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทย ซึ่งแบ่งได้ดังนี้เพลงกล่อมเด็ก เป็นบทร้อยกรองหรือบทกลอนสำหรับกล่อมเด็กส่วนใหญ่มีเนื้อหาบรรยายชีวิต และความเป็นอยู่ที่สะท้อนถึงความเอื้ออาทรรักใคร่ผูกพันที่แม่มีต่อลูก
ซึ่งจะพบเนื้อหาของเพลงแตกต่างกันไปตามท้องถิ่น ตัวอย่างเช่น

เพลงกล่อมเด็กภาคอีสานว่า

"แม่ไปไร่สิหมกไข่มาหา แม่ไปนาสิหาปลามาป้อน" เพลงกล่อมเด็กภาคกลาง "กาเหว่าเอย ไข่ไว้ให้แม่กาฟัก"

เพลงกล่อมเด็กมักแฝงปรัชญาคำสอนไว้อย่างแยบคาย ให้คนได้คิดเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกที่ต้องให้ความรักเพลงประกอบเด็ก เป็นบทร้องร้อยกรอง / คำคล้องจอง หรือบทปลอบเด็กสำหรับร้องปลอบเด็กร้องไห้โยเยบ่อยให้เงียบ และเกิดความเพลิดเพลิน

ตัวอย่างเช่น "กุ๊กๆ ไก่ เลี้ยงลูกจนใหญ่ ไม่มีนมให้ลูกกิน ลูกร้องเจี๊ยบๆ แม่ก็เรียกไปคุ้ยดิน ทำมาหากิน ตามประสาไก่เอย" เพลงปลอบเด็กนี้ จะต้องไห้เด็กฟังอย่างเดียวหรืออาจทำท่าทางประกอบด้วยก็ได้เพลงเด็กเล่นเป็นบทร้อยกรอง หรือบทร้องเล่นของเด็กที่เป็นบทกลอนสั้นๆทำนองง่าย ให้ได้ร้องเล่นเพื่อความสนุกสนาน หรือร้องล้อเลียนหยอกล้อกันเนื้อความบางส่วนอาจไม่มีความหมาย แต่มุ่งให้จังหวะคล้องจอง และสัมผัสที่ไพเราะเป็นการส่งเสริมให้เด็กเรียนรู้คำศัพท์ทางภาษามากขึ้น และฝึกนิสัยในการจำ ตัวอย่าง เช่น "ตั้งไข่ล้มต้มไข่กิน ไข่ตกดิน เก็บกินไม่ได้"บทร้องประกอบการเล่น เป็นร้องที่เป็นบทเพลงทำนองบทกลอนสั้นๆที่ร้องประกอบการละเล่น เพลงส่วนใหญ่ที่ใช้ร้องจะให้จังหวะ ให้ความพร้อมเพรียงในการเล่นเกม เนื้อเพลงบางเพลงยังอธิบายถึงวิธีการเล่นด้วย ตัวอย่างเช่น "มอญซ่อนผ้า ตุ๊กตาอยู่ข้างหลัง ไว้โน่นไว้นี้ ฉันจะตีก้นเธอ" "โพงพางเอย ปลาเข้าลอด ปลาตาบอด เข้าลอดโพงพาง" การละเล่นนี้ยังมีประโยชน์ในการออกกำลังกาย การเล่นร่วมกันการออกเสียงภาษา การรู้จักช่วยเหลือกัน และเสริมสร้างความรู้สึกสุนทรีย์จากสัมผัสคล้องจองไพเราะด้วยเพลงเด็กแต่งขึ้นใหม่ เป็นบทเพลงที่ใช้ประกอบการสอนเด็กปฐมวัยเป็นเนื้อเรื่องที่มีความหมาย และสามารถทำท่าทางประกอบร้องได้ เพื่อจูงใจให้เด็กรู้สึกสนุกสนานและเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ตัวอย่างเช่น เพลงดื่มนม เพลงเก็บของเล่น เพลงนิ้วมือจ๋า เพลงแปรงฟันการเลือกเพลงสำหรับเด็กปฐมวัยเพลงของเด็กควรมีเนื้อร้องง่ายๆ สั้นๆ คำซ้ำๆ เสียงไม่สูงหรือต่ำเกินไปทำนองง่าย จังหวะชัดเจนไม่ช้าหรือเร็วเกินไป และควรเลือกให้เหมาะกับพัฒนาการเรียนรู้และความสามารถทางภาษาของเด็ก โดยเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 3 ปี ควรเลือกบทร้องที่เป็นคำคล้องจองง่ายๆ ส่วนเด็กอายุ 3 ปีขึ้นไป เนื้อร้องอาจยาวขึ้นได้วิธีการแนะนำเพลงให้เด็กการปลูกฝังความสนใจในเพลงให้กับเด็ก ควรเริ่มต้นตั้งแต่เล็กโดยผู้ใหญ่ร้องเพลง หรือเปิดเพลงให้เด็กฟังอย่างสม่ำเสมอ ในช่วงแรกเด็กจะสนใจจังหวะและเคลื่อนไหวร่างกายตามจังหวะ และเริ่มจดจำเนื้อร้องในเพลงเมื่อได้ยินเพลงเดิมซ้ำบ่อยๆ ในการแนะนำเพลงให้กับเด็กควรดำเนินการ ดังนี้- นำเสนอเพลงที่มีเนื้อร้องสั้นๆ มีคำซ้ำๆ และมีทำนองง่าย โดยชักชวนให้เด็กฟังเพลงด้วยกันก่อน เด็กชอบฟังเพลงซ้ำๆ- เปิดโอกาสให้เด็กแสดงออกตามความต้องการ เด็กจะร้องตาม ถูกหรือผิดควรให้โอกาสเด็กได้เรียนรู้อย่างค่อยเป็นค่อยไปด้วยความมั่นใจ- ฝึกให้เด็กรู้จักเคาะจังหวะ เด็กมักมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเสียงจังหวะเพลง อาจให้เด็กปรบมือตามจังหวะ หรือเคาะเครื่องดนตรีโดยไม่คาดหวังความถูกผิด นางสาวสุภาภรณ์ วรรณวงค์ 484186124 หมู่เรียน 48/186/1


ดนตรีบำบัดเพลงสำหรับเด็ก
ดนตรีบำบัดจะมีประโยชน์มากสำหรับเด็กที่มีปัญหาในหูเห็น, ย้าย, คิดหรือตอบ เด็กที่ประสบอุปสรรคในรูปความสัมพันธ์กับเด็กๆจะได้ประโยชน์จากเพลงบำบัด

ดนตรีเป็นที่รู้จักกันเพื่อร่วมให้เหตุผลความสามารถในการอ่านทักษะภาษาพัฒนามอเตอร์ควบคุมและกายภาพดีและการสื่อสาร มีลักษณะต่อไปนี้
มัน captivates และรักษาความสนใจ
มัน stimulates และใช้หลายส่วนของสมอง
เป็นความช่วยเหลือที่มีประสิทธิภาพ
มันสนับสนุนและส่งเสริมการเคลื่อนไหว
มัน taps เข้าอารมณ์และความทรงจำ
ดนตรีได้ประสบความสำเร็จเป็นแทรกแซงสำหรับเด็กพิการ ได้ถูกนำมาใช้กับเด็กทุกกลุ่มอายุจากก่อนโรงเรียนเพื่อเป็นผู้ใหญ่ที่มีหลายประเภทพิการ เพลงสามารถใช้เพื่อกระตุ้นการเคลื่อนไหวและการออกกำลังกายเพื่อเรียกคืนกายภาพทำงาน
ที่แตกต่างกันมีสื่อดนตรีจดทะเบียนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามบุคคล สดเพลงให้มากขึ้นความยืดหยุ่นและสามารถในการปรับตัวเพื่อให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละ พระราชบัญญัติการร้องเพลงสามารถช่วยในการปรับปรุงปากเปล่ามอเตอร์ทักษะ ลงชื่อสามารถให้ความช่วยเหลือในการปรับปรุงหายใจ-ควบคุมและออกเสียงทักษะ ดนตรีบำบัดสามารถช่วยในการพัฒนาความเชื่อมั่นในตนเองและความนับถือตนเอง
จักษุมือประสานงานสามารถปรับปรุงผ่านการใช้เครื่องมือที่จำเป็นต้องมีความแม่นยำ รอบคอบเลือกพื้นหลังเพลงสามารถช่วยในการออกกำลังกายปกติกายภาพ สามารถใช้เป็นแรงจูงใจกายภาพสำหรับการออกกำลังกาย เนื่องจากแต่ละประสบการณ์การปรับปรุงความสามารถในกายภาพเขามีโอกาสในการเรียนรู้ทักษะใหม่ นี้ enhances ตัวเองมั่นใจและความนับถือในตนเองเขา
เนื่องจากการพูดและการร้องเพลงมีสามัญปัจจัยการใช้เสียงพูดแบบฝึกหัดที่ใช้ในการร้องเพลงสามารถปรับปรุงการควบคุมมอเตอร์ทักษะที่จะปรับปรุงความชัดเจนในการพูดและการสื่อสารความสามารถ

นางสาวสุภาภรณ์ วรรณวงค์ 484186124 หมู่เรียน 48/186/1

วันพุธที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2553

เพลงกับเด็กปฐมวัย

คุณค่าดนตรีต่อพัฒนาการเด็กปฐมวัย
ผลจากคุณค่าของเสียงดนตรีที่มีต่อการพัฒนาทางด้านจิตใจของเด็ก นักจิตวิทยาสังคมต่างให้การยอมรับและได้กล่าวถึงคุณค่าของดนตรีไว้ว่า
1. ดนตรีก่อให้เกิดความสว่างแก่จิตใจ ( Enlightenment) 2. ดนตรีก่อให้เกิดความสุข ( Well - Being) 3. ดนตรีก่อให้เกิดความผูกพันรักใคร่ ( Affection)
ดนตรีเป็นศาสตร์ หรือวิชาที่ทำให้เด็กระดับปฐมวัยได้รับการพัฒนาทุก ๆ ด้านของการเจริญเติบโต ไม่ว่าจะเป็นความรู้ ความจำ สังคม ค่านิยม การคิดหาเหตุผล การสร้างสรรค์ การพัฒนากล้ามเนื้อ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การพัฒนาตนเองให้เข้ากับกลุ่ม หรือสภาพแวดล้อมของสังคมต่าง ๆ ดนตรีจึงน่าจะเป็นวิชาเดียวเท่านั้นที่ทำให้เด็กสนุกสนานรื่นเริงอย่างเต็มที่ ทั้งการแสดงออกทางร่างกาย ความคิด ตลอดจนพัฒนาการทางจิตใจ อารมณ์ และนอกจากนี้ ดนตรีนอกจากนี้ ดนตรียังสามารถนำไปสัมพันธ์ เชื่อมโยงหรือบูรณาการ กับวิชาการ องค์ความรู้ และกิจกรรมต่าง ๆ แก่เด็กปฐมวัยอย่างสำคัญทีเดียว ประการสำคัญดนตรีเป็นตัวจักรสำคัญที่ใช้ในการเสริมสร้างพัฒนาการด้านต่างๆ ของเด็กปฐมวัย ดังนี้
ดนตรีช่วยเสริมสร้างพัฒนาด้านสุขภาพและพลานามัยของเด็กปฐมวัย
การเล่นเครื่องดนตรีหรือการร้องเพลงของเด็กนั้น น่าจะไม่เพียงแต่นั่งร้องหรือขับร้องเท่านั้น แต่เด็กทุกคนชอบ และพอใจที่จะทำท่าทางประกอบไปด้วย เนื่องจากเด็กในระดับปฐมวัยชอบเปลี่ยนอิริยาบทชอบการเคลื่อนไหว กระโดดโลดเต้นไปตามจังหวะท่วงทำนองของเพลง ดังนั้น เพลงและดนตรีจึงสามารถใช้เป็นสิ่งเร้าเพื่อพัฒนาการเคลื่อน ไหว ทั้งการเคลื่อนไหวแบบอยู่กับที่ การเคลื่อนไหวแบบเคลื่อนที่ การเคลื่อนไหวเพื่อดนตรี การเคลื่อนไหวเพื่อนาฎศิลป์ หรือการเต้นรำ รวมทั้งพัฒนากล้ามเนื้อใหญ่ กล้ามเนื้อเล็ก ขน ขา ลำตัว นิ้วมือ และส่วนต่างๆ ของร่างกายตามจังหวะ ดนตรี จะเป็นการช่วยพัฒนาให้เด็กมีร่างกายแข็งแรงและพลานามัยที่สมบูรณ์ อันจะเป็นผลเกี่ยวโยงไปสู่จุดมุ่งหมายทาง การศึกษาที่มุ่งให้เด็กพัฒนาทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญา ความคิดสร้างสรรค์ และทักษะด้านอื่น ๆ ซึ่งจะช่วย ให้เด็กปฐมวัยปรับตัวเข้ากับสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันได้อย่างมีความสุข
ดนตรีช่วยสร้างเสริมพัฒนาการทางอารมณ์ - จิตใจของเด็กปฐมวัย
เพลงและดนตรีช่วยพัฒนาอารมณ์ของเด็กในแง่การให้ความเพลิดเพลิน สนุกสนาน สดชื่น ร่าเริง บางครั้งเด็กปฐมวัยจะยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง อาจทำให้เด็กเกิดความขัดแย้งหรือสับสน จึงทำให้เด็กมีปัญหาในด้านอารมณ์และจิตใจดนตรีจะสามารถช่วยบรรเทาหรือปรับอารมณ์เด็กได้อย่างดี ดนตรีสามารถช่วยให้เด็กได้แสดงออกตามความต้องการความรู้สึกและความสามารถ ช่วยถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกของเด็ก ช่วยให้เด็กผ่อนคลายความเครียด ดังจะเห็นได้จากการ สังเกตเวลาเด็กร้องเพลงเล่นกัน เด็กจะมีหน้าตายิ้มแย้ม เบิกบาน แม้เด็กบางคนจะมีอารมณ์หงุดหงิด แต่เมื่อได้ร้องรำทำเพลงหรือได้ฟังเพลงสักครู่ก็จะค่อยคลายความไม่สบายใจลง เพราะความไพเราะของเพลง ลีลาและท่วงทำนองเพลงจะช่วยกล่อมอารมณ์ของเด็กให้เพลิดเพลินเป็นปกติได้อย่างดี นอกจากนี้แล้ว ดนตรียังพัฒนาอารมณ์ของเด็ก เกิดความบันเทิงใจ เพลิดเพลิน เกิดจินตนาการกว้างไกล อารมณ์เยือกเย็น สุขุม รักสวยรักงาม เห็นคุณค่าของดนตรี รักในเสียงเพลง เสียงดนตรี จากการสัมผัสดนตรีอยู่ในโลกของดนตรี ไม่เกิดความเหงา เห็นเสียงเพลงเสียงดนตรีเป็นเพื่อน เด็กจะเกิดความนุ่มนวลอ่อนโยนขึ้น ไม่แข็งกระด้าง ไม่เห็นแก่ตัว มีอารมณ์สุนทรีย์ละเอียดอ่อน การพัฒนาทางอารมณ์ของเด็กจะได้รับการกล่อมเกลาไปทีละเล็กละน้อย จนมีการแสดงออกทางอารมณ์ที่เหมาะสม อันเป็นผลพวงจากดนตรีนั่นเอง

ดนตรีช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางสังคมของเด็กปฐมวัย
เป็นที่ทราบกันดีว่า เด็กปฐมวัยเป็นเด็กที่ยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง (Egocentric) เด็กจะสนใจตนเองมากกว่า ทำให้เด็กไม่ค่อยคิดถึงผู้อื่น สิ่งที่ควรแก้ไขให้รู้จักเอาใจผู้อื่น แบ่งปันสิ่งของ ร่วมเล่นกับเพื่อน รู้จักช่วยเพื่อน ๆ รู้จักใช้ถ้อยคำและกริยาอย่างเหมาะสม รู้จักรักและชื่นชมและให้อภัยต่อกัน ซึ่งสิ่งดังกล่าวสามารถใช้ดนตรีเป็นสื่อ เพราะดนตรีมีส่วนช่วยโน้มน้าวให้เด็กอยากเรียน อยากเล่นหรือทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อน โดยที่ไม่ต้องมีการบังคับแต่ประการใด วิธีหนึ่งที่จะให้เด็กได้พัฒนาด้านสังคม คือ ให้เด็กได้ร่วมร้องเพลงหรือทำกิจกรรมทางดนตรี แสดงบทบาทตามดนตรี จนกระทั่งเด็กเกิดความซาบซึ้งและเห็นคุณค่า เด็กจะพยายามเลียนแบบ ทั้งนี้ ครูและผู้เกี่ยวข้องต้องคอยย้ำและเตือนอยู่เสมอ จนกระทั่งเด็กได้พัฒนาพฤติกรรมทางสังคม เด็กที่ได้รับการพัฒนาทางด้านสังคมโดยใช้ดนตรีเป็นสื่อ ผู้เขียนคิดว่า เด็กจะเรียนรู้ถึงความเป็นไปของสังคมใกล้ตัวและสังคมรอบข้าง เด็กจะเป็นที่รักของสมาชิกและสังคม อยู่ในสังคมอย่างมีความสุข สามารถปรับ ตัวให้เข้ากับผู้อื่นได้ รู้จักพูดจา แสดงท่าทางเหมาะแก่กาลเทศะ ทำงานและเล่นกับผู้อื่นได้ดี ยอมรับฟัง ความคิดเห็นของผู้อื่น สิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งที่เกิดจากการใช้ดนตรีเป็นสื่อในการพัฒนาสังคมของเด็กปฐมวัยโดยแท้
นอกจากนี้ดนตรีทำให้เด็กมีพัฒนาการทางด้านสังคม อันเป็นผลจากการที่เสียงดนตรีมีส่วนช่วยในการปรับสภาพอารมณ์ของเด็กให้เกิดความพึงพอใจ และความสุขสบาย ฉะนั้นการที่เด็กได้ฟังเสียงดนตรีที่มีความสนุกสนาน เพลิดเพลิน เด็กจะเกิดความรู้สึกอบอุ่น มีความไว้วางใจในสิ่งแวดล้อม มีความสุขในการเรียน การทำงาน และสามารถที่จะปรับตัวในลักษณะที่เหมาะสมเมื่ออยู่ร่วมกับผู้อื่น จะสังเกตได้จากพฤติกรรมการแสดงออก ซึ่งเด็กจะมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนมากขึ้น มีพฤติกรรมทางสังคมที่ดี มีความสามัคคีร่วมมือในการทำกิจกรรม ซึ่งส่งผลให้เกิดการเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้เป็น อย่างดียิ่ง
ดนตรีช่วยสร้างเสริมพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กปฐมวัย
ดนตรีจะช่วยสร้างเสริมความรู้ ความเข้าใจ และมโนคติกับเด็กในเรื่องต่าง ๆ เช่น ธรรมชาติศึกษา คณิตศาสตร์ สังคมศึกษา สุขศึกษา ฯลฯ และเป็นการช่วยที่เด็กพอใจ เด็กเข้าใจและจดจำได้เอง โดยไม่ต้องมีการบังคับ เช่น นบทเพลงที่เกี่ยวกับลม ฝน แมลง นก ขณะที่เด็กร้องเพลงและทำท่าเคลื่อนไหวเลียนแบบสิ่งต่าง ๆ อาทิ ลีลาเลียนแบบท่าทางของสัตว์ ท่าทางของคน ลีลาเลียนแบบการเคลื่อนไหวของเครื่องยนต์กลไกและเครื่องเล่น ลีลา เลียนแบบปรากฎการณ์ธรรมชาติ หรือลีลาตามจินตนการ ซึ่งเด็กจะมีความเข้าใจธรรมชาติของสิ่งเหล่านี้เพิ่มขึ้น หรือในขณะที่เด็กร้องเพลงนับกระต่าย นับลูกแมว นับนิ้ว เด็กก็จะได้รับความคิดในเรื่องการเพิ่ม - ลดของจำนวน การเรียงลำดับที่ ฯลฯ ซึ่งพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กปฐมวัยจะเจริญงอกงามโดยอาศัยกิจกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะกิจกรรมทางดนตรีนับเป็นกิจกรรมที่มี ความสำคัญยิ่ง
ดนตรีเป็นสิ่งแวดล้อมที่มีบทบาทสำคัญและเป็นประโยชน์สำหรับการพัฒนาทางสติปัญญาของเด็กปฐมวัย เพราะดนตรีเป็นสิ่งเร่งที่จะช่วยจูงใจให้เด็กเกิดความสบายใจ และมีความรู้สึกในทางที่ดี ซึ่งเป็นการช่วยสร้างสิ่งแวดล้อมให้มีความน่าสนใจ ทำให้เด็กเกิดความตื่นตัวในการเรียนรู้ อันส่งผลโดยตรงต่อการพัฒนาทางสติปัญญาเป็นอย่างดี
ประการสำคัญ ดนตรีจัดเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ขาดเสียมิได้ต่อการพัฒนาทางสติปัญญา โดยเฉพาะด้านสมาธิ เนื่องจากดนตรีช่วยทำให้เด็กเกิดสมาธิในการทำกิจกรรมและสามารถทำงานได้นานขึ้น ทั้งนี้เพราะเสียงดนตรี นับเป็นสื่ออย่างหนึ่งที่จะช่วยปรับสภาพอารมณ์และช่วยกระตุ้นให้เด็กเกิดสมาธิ สามารถสร้างระเบียบและควบคุมตนเองให้เหมาะสมและไม่เกิดความเครียดจนต้องหยุดชะงักการทำงาน ในขณะที่เด็กทำกิจกรรมสร้าง สรรค์ กิจกรรมการเล่นตามมุม กิจกรรมกลางแจ้ง เมื่อมีดนตรีเปิดเบา ๆ เด็กจะมีความพึงพอใจในการทำกิจกรรมท่ามกลางบรรยากาศที่มีเสียงเพลง และมีความตั้งใจพยายามทำกิจกรรม อีกทั้งยังพบว่าระยะเวลาในการทำกิจกรรมแต่ละประเภทจะยาวนานขึ้น นอกจากนี้เสียงดนตรียิ่งทำให้เด็กมีความคิดสร้างสรรค์ และมีจินตนาการในขณะทำกิจกรรมได้เป็นอย่างดี ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยดังนี้
จากการทดลองของ เลิศ อานันทนะ ( 2518 : 219) พบว่า เสียงดนตรีสามรถเสริมสร้างความคิดจินตนาการ ช่วยกระตุ้นให้มีการแสดงออกในทางสร้างสรรค์ ส่งเสริมให้มีความสัมพันธ์ระหว่างประสาทหู กล้ามเนื้อมือ ให้สอดคล้องกับการใช้ความคิด
ฉะนั้น ดนตรีจึงเป็นสื่อกลางของเด็กปฐมวัยในการพัฒนาศักยภาพ คุณค่าทางสมองและสติปัญญา เพราะดนตรีเป็นเรื่องของโสตศิลป์ที่จะพาเด็กไปสู่การรับรู้และเรียนรู้เรื่องของศาสตร์วิทยาการ ต่าง ๆ ตลอดจนความงามอย่างมีสุนทรีย์ ในที่สุดเด็กก็มีการพัฒนาการทางสติปัญญาสูงขึ้น มีคุณภาพและประสิทธิภาพนั่นเอง
ดนตรีช่วยสร้างเสริมพัฒนาทักษะทางภาษาของเด็กปฐมวัย
ดนตรีช่วยให้เด็กรู้จักฟังและแยกความแตกต่างของระดับเสียง สูง ต่ำ ดัง ค่อย หนัก เบา แหลม ทุ้ม รู้จักแยกอัตราจังหวะ ช้า ปานกลาง เร็ว ซึ่งจะเป็นพื้นฐานในการฟังคำพูดที่ประกอบไปด้วยเสียงหนัก - เบา และเสียงวรรณยุกต์ทางภาษาที่แตกต่างกัน ดนตรีจะช่วยพัฒนาทักษะทางด้านต่าง ๆ อาทิ การเขียน การพูด การอ่านออกเสียงของเด็ก เพราะในขณะที่เด็กร้องเพลง เด็กจะต้องรู้จักควบคุมการหายใจ รู้จักควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อที่ใช้ในการพูด รู้จักจังหวะ ของคำพูด รู้จักรูปประโยคที่ถูกต้อง และเด็กจะชอบเล่นกับคำพูด ซึ่งเป็นบทคล้องจองที่อยู่ในเพลงนั้น เนื่องจากเพลงทุกเพลงจะต้องมีเนื้อร้องที่สัมผัสกัน เช่น นกเอยนกน้อยน้อย เจ้าค่อยค่อยเคลื่อนคล้อยมา คำว่าน้อยสัมผัสกับค่อย ลักษณะของคำที่คล้องจองกันเช่นนี้ ทำให้เด็กสามารถจำเพลงได้ง่ายขึ้น สิ่งต่าง ๆ ดังที่ผู้เขียนกล่าวมาจะยังประโยชน์ต่อการพัฒนาทักษะด้านภาษาให้กับเด็กปฐมวัยได้เป็นอย่างดี
ดนตรีช่วยสร้างเสริมพัฒนาลักษณะนิสัยที่ดีของเด็กปฐมวัย
สิ่งที่พึงปรารถนาของทุกฝ่ายและทุกสังคม คือ การให้ลูกหลานมีลักษณะนิสัยที่ดีในการที่จะปลูกฝังและส่งเสริมพัฒนาลักษณะนิสัยที่ดีให้แก่เด็กปฐมวัยนั้น เราสามารถใช้เพลงหรือดนตรีช่วยได้เป็นอย่างมาก ถ้าเลือกเพลงได้เหมาะสม ในปัจจุบันนี้มีบทเพลงสำหรับเด็กมากมายซึ่งมีส่วนช่วยสร้างเสริมลักษณะนิสัยที่ดีให้กับเด็ก จากการทดลองจัดทำเพลงสำหรับเด็กปฐมวัย ว่าด้วยเพลงเกี่ยวกับกริยามารยาท การรักษาความสะอาด เพลงเกี่ยวกับธรรมชาติ สภาพแวดล้อม ความเมตตากรุณาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เพลงเกี่ยวกับการรักษาระเบียบวินัย ความสามัคคี ฯลฯ ซึ่งได้นำมาใช้สอนนักเรียนระดับปฐมวัย ปรากฎว่านักเรียนสนุกสนาน ให้ความสนใจเป็นอย่างดี เด็ก ๆ ที่ชอบทิ้งขยะไม่เป็นที่ หรือเล่นของเล่นแล้วไม่เก็บเข้าที่ ก็จะใช้เพลง “ อย่าทิ้งต้องเก็บ ” มาร้องให้เด็กฟังและสอนให้เด็กร้องตาม ปรากฎว่าเด็ก ๆ ปฏิบัติตามเพลงเป็นอย่างดี
ดนตรีช่วยสร้างเสริมพัฒนาด้านระเบียบวินัยและความพร้อมเพรียงแก่เด็กปฐมวัย
ดนตรีสามารถเป็นสื่อที่จะให้เด็กรักษาระเบียบวินัยและความพร้อมเพรียง โดยวิธีนี้เป็นสิ่งที่ทำได้โดยง่าย ซึ่งจะทำให้ครู - อาจารย์ ผู้เกี่ยวข้องไม่จำเป็นต้องเหน็ดเหนื่อย หรือ เคี่ยวเข็ญบังคับ เช่น การใช้สัญญาณที่เป็นเสียงเพลงหรือดนตรีกับเด็กว่า ถ้าได้ยินเสียงสัญญาณนี้ทุกคนจะต้องมาเข้าแถว สัญญาณเสียงนี้ทุกคนจะต้องหยุดเล่น สัญญาณนอน สัญญาณรับประทานอาหาร สัญญาณดื่มน้ำ ฯลฯ ซึ่งอาจใช้สัญญาณเสียงที่เป็นเสียงดนตรีง่าย ๆ เช่น นกหวีดเป่าเป็นจังหวะ เสียงกลอง เสียงกรับ เสียงฉิ่ง - ฉับ เสียงกระดิ่งสั่น เป็นจังหวะหรือเสียงเพลงใดเพลงหนึ่ง ซึ่งถ้าเด็กเข้าใจและเคยชินกับสัญญาณเสียงทางดนตรีเหล่านี้ เด็กจะปฏิบัติทุกอย่างได้ดีมีความพร้อมเพรียงกัน โดยที่ครูหรือผู้อ่านเองไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับการที่จะต้องคอยตะโกนบอกเด็กอยู่ทุกระยะ ฉะนั้นดนตรีจึงเป็นสื่อสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่มีส่วนช่วยพัฒนาระเบียบวินัย รวมถึงความพร้อมเพรียงของเด็กปฐมวัยไได้อีกทางหนึ่ง
ดนตรีช่วยในการปลูกฝังความรักชาติบ้านเมืองของเด็กปฐมวัย
การปลูกฝังให้เด็กเกิดความรักชาติบ้านเมืองเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องแรกอยู่ในกิจกรรมต่าง ๆ สิ่งที่จะเป็นสื่อที่ดีที่สุด คือ การใช้เพลงหรือดนตรี ทำนองและจังหวะต่าง ๆ เป็นเครื่องช่วยกระตุ้น ส่งเสริม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพลงที่มีจังหวะเร้าใจ คึกคัก สนุกสนาน มีความหมายที่เกี่ยวกับความรักชาติ ความเสียสละเพื่อชาติของวีรชนบรรพบุรุษ ตลอดจนตัวอย่างที่ดีงามของผู้เสียสละ จะเป็นการกระตุ้นให้เด็กเห็นคุณค่าและความสำคัญของประเทศชาติ เห็นความสำคัญของบรรพบุรุษที่ได้ช่วยกันป้องกันประเทศชาติ สิ่งเหล่านี้ จะเป็นตัวปลูกฝังแทรกซึมความรักชาติบ้านเมือง ความภาคภูมิใจในถิ่นกำเนิดต่อไปในอนาคต โดยการใช้ดนตรีเป็นสื่อนำทางได้เป็นอย่างดี
ดนตรีช่วยลดพฤติกรรมที่เป็นปัญหาของเด็กปฐมวัย
เพลงและดนตรีจะช่วยลดพฤติกรรมที่เป็นปัญหาบางอย่างของเด็กปฐมวัย เช่น เด็กที่ไม่กล้าแสดงออก ไม่มีความเชื่อมั่นในตนเอง เด็กที่ขี้อาย มีความก้าวร้าว ฯลฯ เราสามารถนำกิจกรรมทางดนตรีเข้ามาช่วยปรับ หรือแก้ไขพฤติกรรมดังกล่าวได้เป็นอย่างดี
จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันมีการนำกิจกรรมทางดนตรีมาสร้างสรรค์ บรรณาการ และประยุกต์ใช้เป็นสื่อในการพัฒนาการและช่วยแก้ไขข้อบกพร่องของเด็ก จากประสบการณ์ผู้เขียนคิดว่าเด็กในระดับปฐมวัยจะมีปัญหา ข้อบกพร่องและความพิการด้านต่าง ๆ แตกต่างกันไป ซึ่งปัญหาข้อบกพร่องและความพิการทุกอย่างสามารถที่จะนำกิจกรรมทางดนตรีเข้าบำบัดแก้ไขได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเด็กที่มีความสนใจต่ำ เด็กที่มีสมาธิสั้น เด็กที่มีปัญหาเกี่ยวกับการพูด มีปัญหาเกี่ยวกับทักษะในการเคลื่อนไหว การปรับตัว ความคิดและจินตนาการ สายตา การอยู่ร่วมกัน การรักษาหรือลักษณะของต่าง ๆ ความซาบซึ้ง ความสามารถ ระดับความสมหวัง ประการที่สำคัญดนตรีสามารถนำไปใช้บำบัดการที่เด็กพิการ ทั้งด้านการพูด ตา หู ร่างกาย สมอง หรือแม้กระทั่งเด็กที่มีปัญหาหรือความบกพร่องทางอารมณ์ ซึ่งผู้ที่นำกิจกรรมทางดนตรีมาใช้เชื่อกันว่า อิทธิพลหรืออำนาจของเสียงพลงหรือดนตรีจะสามารถก่อให้เกิดประโยชน์ คุณค่าและเกิดอารมณ์แก่เด็กในการที่จะแก้ปัญหาต่าง ๆ ในตัวเด็กได้
ประการสำคัญในการเรียนการสอนระดับปฐมวัย ดนตรีสามารถนำมาปรับพฤติกรรม หรือเสริมการเรียนรู้ของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ซึ่งนักวิชาการทางดนตรี เรียกกันว่าดนตรีบำบัด อันเป็นวิชาการแขนงหนึ่งที่มีประโยชน์มหาศาลต่อเด็กโดยการประยุกต์กิจกรรมทางดนตรีหรือเพลงที่เลือกสรรเป็นอย่างดีมาใช้กับเด็ก โดยมุ่งที่จะให้กิจกรรมทางดนตรีเป็นตัวช่วยเสริมสร้างพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของเด็ก ช่วยแก้ไขความผิดปกติ ความบกพร่องของเด็กในระหว่างที่มารับการบำบัดหรือศึกษาฟื้นฟู พัฒนาสมรรถภาพ ซึ่งเด็กเหล่านี้อาจเป็นเด็กปัญญาเลิศ เด็กที่มีปัญหาทางการอ่าน เด็กปัญญาอ่อน เด็กที่มีปัญหาทางอารมณ์ เด็กที่มีความบกพร่องด้านต่าง ๆ เด็กพิการ หรือเด็กพิเศษ ฯลฯ โดยการบำบัดด้วยดนตรีเป็นการเริ่มที่ตัวเด็กไม่ได้เริ่มจากดนตรี โดยการใช้เด็กเป็นศูนย์กลางของการบำบัด นักดนตรี นักดนตรีบำบัดจะวินิจฉัยปัญหาของเด็ก แล้วจึงวางแผนจัดกิจกรรมทางดนตรีให้สอดคล้องกับความต้องการ ความบกพร่องหรือปัญหาของเด็กแต่ละคนเป็นราย ๆ ไป การบำบัดด้วยดนตรีของเด็กพิเศษเหล่านี้ อาจทำเดี่ยวหรือเป็นกลุ่มก็ได้ ทั้งนี้เพื่อต้องการให้เด็กมีพัฒนาการที่พึงประสงค์ สิ่งสำคัญของการบำบัดดนตรีสำหรับเด็กปฐมวัย จะเน้นการบำบัดดนตรีเป็นรายบุคคล ซึ่งจะเริ่มที่ปัญหาและสภาพข้อบกพร่อง ความต้องการพิเศษของเด็กแต่ละคนๆ การบำบัดด้วยดนตรีนี้มีจุดมุ่งหมายคล้ายกับการบำบัดรักษาด้วยวิธีการหรือเครื่องมืออื่นๆ โดยมุ่งที่จะใช้กิจกรรมทางดนตรีเป็นสื่อกระตุ้นหรือเร้าให้เด็กได้มีพัฒนาการ ประสบความสำเร็จในการปรับพฤติกรรมต่าง ๆ ทั้งยังส่งเสริมให้เด็กเกิดพฤติกรรมใหม่ อันเป็นสิ่งที่พึงประสงค์ เป็นสิ่งปกติในชีวิตและวัยของเด็กแต่ละช่วงให้คงอยู่แลพัฒนาการต่อไป
ดนตรีเป็นสื่อสร้างเสริมพัฒนาการเรียนการสอนของเด็กปฐมวัย
วิธีการหรือสื่อหนึ่ง ที่จะมีส่วนทำให้เด็กในระดับปฐมวัยเกิดความสนใจ สนุกสนาน เห็นคุณค่าตั้งใจและติดตามการเรียนการสอนวิชาอื่น ๆ ในหลักสูตร ไม่ว่าจะเป็นสาระเนื้อหาตามแผนการจัดประสบการณ์ ทั้งกิจกรรมที่ปรากฎในตารางกิจกรรมประจำวันอันประกอบด้วย การเคลื่อนไหวและจังหวะกิจกรรมสร้างสรรค์ (ศิลปศึกษา) การเล่นตามมุม กิจกรรมในวงกลม การเล่นกลางแจ้ง เกมการศึกษา กิจกรรมที่ไม่ปรากฎในตารางกิจกรรมประจำวัน อาทิ การเล่านิทานการร้องเพลง การท่องคำคล้องจอง การจัดทัศนศึกษา การปฏิบัติการทดลอง การเตรียมเด็กให้สงบ ( การเก็บเด็ก) รวมทั้งแผนการจัดประสบการณ์ทั้ง 16 สัปดาห์ ในระดับปฐมวัยศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ ( กระทรวงศึกษาธิการ. 2536 : 335 หน้า) ซึ่งเราสามารถนำกิจกรรมดนตรี เข้าแทรกหรือบูรณาการแผนการจัดประสบการณ์ดังกล่าวข้างต้นได้เป็นอย่างดี
การนำดนตรีมาใช้เป็นส่วนประกอบในกิจกรรมการเรียนการสอน บทประพันธ์เพลงที่มีความไพเราะ มีรูปแบบทำนองลีลาสมบูรณ์ จะให้ความซาบซึ้งและดำรงไว้ซึ่งคุณค่าทางอารมณ์ สามารถจินตนาการเป็นภาพที่มีความหมาย ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่เด็กในแง่ที่จะพัฒนาจิตใจให้ละเอียดอ่อน ส่งเสริมพัฒนาการทางอารมณ์ เรื่องของการเรียนไม่ว่าจะเป็นการเรียนวิชาดนตรีหรือวิชาอื่น ๆ ก็ตาม การเรียนรู้ที่สมบูรณ์นั้น ควรจะมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันได้ในรายวิชาต่าง ๆ ปกติคนเราจะมีพื้นฐานดนตรีประทับในใจอยู่แล้วเป็นทุน จากสิ่งแวดล้อมหรือธรรมชาติ ดังนั้น จึงสามารถใช้ดนตรีเป็นสื่อเชื่อมโยงได้ โครงสร้างของวิชาดนตรีกับวิชาอื่น ๆ ซึ่งมีความสัมพันธ์ต่อกัน จะเป็นส่วนช่วยให้สามารถจัดระบบที่เหมาะสม
การนำกิจกรรมดนตรีมาใช้ประกอบการเรียนการสอนให้สัมพันธ์กับบทเรียนสำหรับเด็กปฐมวัยนั้น มีจุดมุ่งหมายที่จะให้เด็กเรียนด้วยความสนุกเพลิดเพลิน ไม่เบื่อหน่ายวิชาที่เรียน เพราะเป็นการได้รับความรู้จากบทเรียน คละเคล้าไปกับการเล่นโดยไม่รู้ตัว และจะช่วยส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ ความจำของเด็กได้ดีขึ้น กิจกรรมการเรียนการสอนที่ใช้ดนตรีอาจทำได้ดังนี้
1. ใช้ดนตรีเป็นเนื้อหาในการเรียนแล้วโยงไปหาวิชาอื่น ๆ เช่น ถ้าเพลงใดมีเนื่อหาที่บอกเรื่องราวต่าง ๆ สมบูรณ์ในตัว ก็นำเพลงนั้นมาให้เด็กร้องและอธิบายข้อความตามเนื้อเพลง แล้วจึงโยงไปถึงการเล่น การเล่าเรื่อง การเล่นนิทาน การฝึกทักษะด้านอื่น ๆ
2. ใช้ดนตรีเป็นส่วนประกอบให้สัมพันธ์กับบทเรียน คือ เรียนเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้วนำเพลงที่สัมพันธ์กับบทเรียนเข้ามาแทรก ซึ่งการแทรกนี้อาจทำได้หลายทาง เช่น ใช้ดนตรีเป็นการนำบทเรียน เพื่อที่จะเร้าให้เด็กเกิดความสนใจและกระตือรือร้นอยากที่จะเรียน ควรใช้เพลงที่เกี่ยวกับการให้เด็กคิดหรือให้ทาย เป็นต้นใช้ดนตรีแทรกตอนกลางบทเรียน บางครั้งบทเรียนที่ค่อนข้างยาวเกินไป อาจทำให้เด็กเบื่อและมีสมาธิสั้น อาจใช้เพลงแทรกเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ และเพื่อให้ เด็กเรียนด้วยความสนุกสนานยิ่งขึ้น ซึ่งเพลงที่จะนำมาร้องแทรกตอนกลางของบทเรียนนี้ ควรเป็นเพลงที่เด็กร้องเป็นมาก่อน หรือเคยได้ฟังมาบ้างและเป็นเพลงที่ร้องง่าย ๆ ฉะนั้น ครูจะต้องเริ่มสอนร้องเพลงใหม่ ทำให้ความสนใจของเด็กมาอยู่ที่ดนตรีหมด โดยที่ยังสอนบทเรียนไม่จบ นอกจากนี้ การนำดนตรีมาแทรกในบทเรียนยังช่วยได้มากในกรณีที่ครูต้องการเน้นเนื้อหาให้เด็กเข้าใจ และเห็นความสำคัญยิ่งขึ้น
3. ใช้ดนตรีหรือเพลงร้องภายหลังบทเรียน ซึ่งเป็นการทบทวนบทเรียนไปด้วย เช่น เมื่อเด็กเรียนธรรมชาติศึกษาเรื่องสัตว์ต่าง ๆ ได้หัดฟังและเลียนแสียงร้องของสัตว์และชนิดของสัตว์ ซึ่งแตกต่างกันไปแล้ว เพื่อเป็นการทบทวนความจำให้แม่นยำยิ่งขึ้นว่าสัตว์ใดร้องอย่างใด ก็นำกิจกรรมทางดนตรีมาให้เด็กร้องหรือเล่นเป็นการสรุปบทเรียนได้อีกทางหนึ่ง
การนำกิจกรรมทางดนตรีมาประกอบการเรียนการสอนเพื่อเป็นสื่อสร้างเสริมพัฒนาการเรียนการสอนของเด็กปฐมวัย สามารถสร้างความสัมพันธ์เชื่อมโยงรายวิชาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาษา สังคมศึกษา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ศิลปศึกษา ธรรมชาติ ฯลฯ การใช้ดนตรีเข้าช่วยจะทำให้เด็กเกิดความสุกสนาน สร้างเสริมคุณค่าและพัฒนาการทางอารมณ์ สามารถอำนวยประโยชน์ในกิจกรรมการเรียนการสอน และเป็นประโยชน์สำหรับเด็กปฐมวัยและผู้เกี่ยวข้อง
บทความนี้คัดลอกมาจาก นางสาวมัทนา วิไลลักษณ์
http://www.student.chula.ac.th/~47445269/webpage/music5.htm
นางสาวจิราภรณ์ สุขสำราญ 484186102

วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2553


หลังจากรัฐบาลได้ประกาศให้ความสำคัญกับการอ่าน และระบุว่าเป็นวาระแห่งชาติ แต่ก็ยังพบว่า การอ่านหนังสือของเด็กไทยนั้นไม่เดินหน้าเท่าที่ควร สิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหาอย่างชัดเจนคือเรื่องราคาของหนังสือที่ค่อนข้างแพง ทำให้ครอบครัวหาเช้ากินค่ำไม่สามารถซื้อหาหนังสือดีมีคุณภาพมาให้ลูก ๆ อ่านได้
ในจุดนี้ นพ. ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เลขาธิการมูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ กล่าวว่า “ปัจจุบันเด็กไทยอ่านหนังสือน้อยลง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่ได้รับการปลูกฝังจากพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก เนื่องจากพ่อแม่เองก็ไม่ทราบว่าหนังสือมีความสำคัญต่อการพัฒนาการเจริญเติบ โตของเด็กอย่างไร จึงไม่ค่อยให้ความสำคัญ ทั้งที่หนังสือมีความสำคัญต่อสมรรถนะของเด็กตั้งแต่ปฐมวัย ช่วยให้เด็กเติบโตอย่างรวดเร็ว มีพัฒนาการที่ดี และฉลาด และยังช่วยทำให้พ่อแม่ใกล้ชิดกับลูกมากขึ้น ซึ่งการจะฝึกให้เด็กรักการอ่านได้ ต้องเริ่มจากที่พ่อแม่อ่านหนังสือให้เด็กฟังตั้งแต่แรกเกิด ไปจนถึงเด็กสามารถเริ่มหัดอ่านหนังสือด้วยตัวเอง โดยพ่อแม่จะต้องเลือกหนังสือที่เหมาะกับวัยของเด็กในแต่ละช่วงวัยด้วย”ทั้งนี้ นพ.ประเสริฐ ยังได้ให้คำแนะนำถึง 8 ขั้นตอนง่าย ๆ ที่จะช่วยกระตุ้นให้เด็กเข้าถึง “หนังสือ” เอาไว้ดังนี้1. จัดมุมหนังสือในบ้าน เป็นมุมสบาย ๆ ที่ใช้วางหรือแขวนถุงหนังสือ ลูกจะได้เรียนรู้ว่า เมื่อใดที่ต้องการหนังสือจะมาหยิบจากที่นี่2. จัดบรรยากาศในบ้านให้เอื้อต่อการอ่านหนังสือร่วมกัน เช่น ปิดโทรทัศน์แล้วเปิดหนังสือทุกวันหลังอาหาร 3 มื้อ3. อุ้มลูกนั่งตัก แล้วอ่านหนังสือด้วยกันอย่างสม่ำเสมอ4. สร้างวัฒนธรรมการอ่าน คืออ่านเมื่อไรหรือที่ไหนก็ได้ อ่านได้ทุกเวลาในทุกสถานที่อย่างไม่จำกัด5. พ่อแม่อ่านออกเสียงสูง ๆ ต่ำ ๆ ทำเสียงเล็กเสียงน้อย หรือเน้นเสียงเน้นคำหนักเบา พร้อมกอด สัมผัส หยอกเย้ากับลูกขณะอ่านหนังสือ เพื่อกระตุ้นให้ลูกเกิดความสนใจ6. ในกรณีที่อ่านหนังสือไม่ออก ให้ใช้ภาพในหนังสือพูดคุย7. พ่อแม่ต้องใส่ใจและแสดงการตอบรับทุกครั้ง ที่ลูกแสดงความสนใจหนังสือ8. ปฏิบัติเป็นกิจวัตรประจำวันให้ได้อย่างน้อย วันละ 5 – 15 นาทีอย่างไรก็ดี ในส่วนของหนังสือสำหรับเด็กมักจะมีราคาค่อนข้างสูง ทำให้ผู้ปกครองที่มีรายได้น้อย ไม่สามารถหาซื้อได้ ในประเด็นดังกล่าว นพ.ประเสริฐให้ความเห็นว่า “รัฐบาลควรสนับสนุน หาวิธีทำให้หนังสือมีราคาถูกลง เพราะหนังสือจำเป็นต่อชีวิตต้องมีราคาถูก เข้าถึงง่าย ซึ่งหากมีหนังสือนิทานดีๆ การ์ตูนดีๆ ก็จะปลูกฝังให้เด็กทำในสิ่งที่ดีตามมาด้วย”ทั้ง นี้ การส่งเสริมพ่อแม่ให้ปลูกฝังลูกรักการอ่านนั้น พ่อแม่เด็กก็ควรจะมีทัศนคติที่ดีต่อการอ่านก่อนว่า การอ่านนั้นมีความจำเป็นต่อพัฒนาการของเด็ก เพราะหากพ่อแม่กับเด็กมีทัศนคติไม่ตรงกัน ก็อาจกลายเป็นดาบสองคมได้ในอนาคตได้ ดังนั้น หากพ่อแม่จะปลูกฝังลูกให้รักการอ่าน พ่อแม่ก็ควรจะต้องรักการอ่านเสียก่อน” นพ.ประเสริฐกล่าวทิ้งท้าย


ที่มา : เว็บไซต์ ASTV ผู้จัดการ (www.manager.co.th)
VN:F [1.8.0_1031]


นางสาวจงกลกร พันธ์ประสิทธิ์ 484186101 48/186/1

เพลงกับเด็กปฐมวัย

เรื่องเพลงสำหรับเด็กปฐมวัย
การสอนส่วนมากจะเกี่ยวกับการร้องเพลงเพลงที่สอนเด็กปฐมวัยมีเนื้อร้องที่ช่วยพัฒนาและให้ความรู้แก่เด็กหลายด้านเช่น
1. ด้านร่างกายหรือด้านพลานามัยในการสอนนี้ผู้สอนต้องใช้ท่าทางประกอบ เนื่องจากชอบการเคลื่อนไหวไม่ชอบอยู่นิ่ง ในการร้องเพลงควรทำท่าประกอบด้วย เด็กจะได้ทำท่าตามครูหรือคิดขึ้นเอง1. ส่งเสริมด้านการออกกำลังกาย เช่นเพลงกายบริหารกำมือขึ้นแล้วหมุน หมุน ชูมือขึ้นโบกไปมา (ซ้ำ)กางแขนขึ้นและลง พับแขนขึ้นแตะไหล่กาวแขนขึ้นและลง ชูขึ้นตรงหมุนไปรอบตัวผู้แต่ง ครีนวล รัตนสุวรรณ2. ปลูกฝังด้านสุขนิสัยเช่นเพลง แปรงฟันแปรงซิ แปรง แปรงฟัน ฟันหนูสวยสะอาดดีแปรงขึ้น แปรงลงทุกที่ สะอาดดีเมื่อหนูแปรงฟันผู้แต่ง เตือนใจ ศรีมารุตเพลงอย่าทิ้งอย่าทิ้ง อย่างทิ้ง อย่าทิ้ง ทิ้งแล้วจะสกปรกถ้าเราเห็นมันรก ต้องเก็บ ต้องเก็บ ต้องเก็บผู้แต่ง เตือนใจ ศรีมารุ
2. ด้านอารามณ์ ขณะที่เด็กร่วมร้องเพลงหรือทำท่าทาง เด็กมีอาการร่างเริงแจ่มใสสนุกสนาน ดวงตาเป็นประกายอย่างมีความสุขเมื่อเขาทำได้ เพลงจะช่วยคลายเครียด มีความสดชื่นบางเพลงทำให้สนุกเช่นเพลง ตุ๊บป่องติง ตลิง ติงต๊อง เรือเราลอย ตุ๊บป่องลอยไปตามน้ำไหล ลอยไป ลอยไป ในคลองตุ๊บป่อง ตุ๊บป่อง ตุ๊บป่อง ตุ๊บป่อง ตุ๊บป่อง ผู้แต่ง ฐะปะนีย์ นาครทรรพ
3. ด้านสังคม เด็กมาโรงเรียนจะต้องเข้าสังคมใหม่ และสถานที่ใหม่ เพื่อนใหม่ ครู หรือคนอื่นๆ สิ่งที่จัช่วยให้เด็กคุ้นเคย และเข้ากับผู้อื่นได้ก็ใช้เพลงเป็นสื่อ ช่วยให้เด็กสนิทสนม กับครูและเพื่อน เนื้อเพลงที่ร้องเช่นเพลงสวัสดีสวัสดี สวัสดี ยินดีที่พบกันเธอกับฉัน พบกันสวัสดี ผู้แต่ง ศรีนวล รัตนสุวรรณ
4. ด้านสติปัญญา เพลงช่วยให้มีความรู้ และเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ได้ดี ช่วยให้จำได้เร็วกว่า การบอกเล่า ฝึกให้รู้จักคิดและได้ความรู้เช่ยคณิตศาสตร์ ช่วยให้เด็กมีความเข้าใจ และจดจำเกี่ยวกับจำนวน หรือความหมายขอบงคำ ทางคณิตศาสตร์เช่นเพลงนกกระจิบ นั่นนกบินมาลิบๆ นกกระจิบ 1,2,3,4,5อีกฝูงบินล่องลอยมา 6,7,8,9,10ตัว ผู้แต่ง ศรีนวล รัตนสุวรรณ เพลง แม่ไก่ออกไข่แม่ไก่ออกไข่วันละฟอง ไข่วันละฟอง ไข่วันละฟองแม่ไก่ของฉันไข่ทุกวัน หนึ่งวันได้ไข่หนึ่งฟอง2 วันได้ไข่ 2ฟอง จนถึง10ฟอง ผู้แต่งศรีนวล รัตนสุวรรณ เห็นไหมค่ะเพื่อนๆ เพลงมีคุณค่าแก่เด็กมากมายการที่เด็กได้ร้องเพลง ได้ทำท่าตามเนื้อเพลงหรือตามจังหวะ จะช่วยไม่ให้เด็กเบื่อการเรียน ทั้งช่วยให้ทุกส่วนของกล้ามเนื้อ ตลอดจน ตา หู มือ เท้า มีความคล่องว่องไว และช่วยพัฒนาร่างกายของเด็กได้ดี อีกทั้งได้รับความสนุกสนานและความรู้ด้วย
ที่มา เอกสารประกอบการอบรมอาสาสมัครผู้ดูแลเด็ก
http://plearnpichlanguage.blogspot.com/2009/01/blog-post.html
นางสาวจิราภรณ์ สุขสำราญ 484186102

วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2553

เด็กปฐมวัยมีการพัฒนาสติปัญญาได้รวดเร็วมากและช่วงนี้เด็กจะมีความจำที่ดีบทเพลงรึคำคล้องจองจึงมีส่วนสำคัญต่อการจำของเด็กดังนั้นวันนี้นู๋เก่งจึงนำเนื้อเพลงเกี่ยวกับเด็กปฐมวัยมาฝากเพื่อนๆค่ะ
ก่อนที่จะไปดูบทเพลงนู๋เก่งต้องกราบขอบพระคุณอาจารย์ทุกท่านที่กรุณาแต่งบทเพลงมาเพื่อการพัฒนาสติปัญญาของเด็กปฐมวัยนู๋เก่งไม่อาจบอกได้ว่าอาจารย์ท่านใดแต่งเพลงใดเพราะแต่ละเพลงนู๋เก่งได้มาจากการร้องปากต่อปากถ้าเนื้อเพลงท่อนใดมีการผิดไปจากต้นฉบับจริงนู๋เก่งก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


คัดลอกมาจากhttp://learners.in.th/blog/va2524/23148

ผู้ส่ง nunuitawhan2927@hotmail.com

ดนตรีช่วยแก้ปัญหาเด็กสมาธิสั้นได้จริงหรือ!!!

ดนตรี มีประโยชน์มากมาย การฟังดนตรีทำให้เราผ่อนคลาย เพลิดเพลิน มีความสุข หากเราได้เล่นดนตรีก็ยิ่งเป็นการปลดปล่อยความเครียดที่ฝังอยู่ตามกล้ามเนื้อ และเซลล์ประสาทให้ออกมากับการเล่นดนตรี ทำให้อารมณ์ดีขึ้น สามารถควบคุมอารมณ์ต่างๆ ได้ดีขึ้น ส่งผลให้ความเฉลียวฉลาดทางอารมณ์ EQ สูงขึ้นและเมื่อเด็กเรียนดนตรี เด็กจะมุ่งความสนใจไปที่เสียงดนตรีที่ตนเองสามารถทำให้เกิดขึ้นได้ เด็กจะเกิดความภาคภูมิใจในความสามารถของตนเอง และอยากจะเล่นดนตรีต่อไปเพื่อให้เกิดเสียงที่ไพเราะขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเด็กจดจ่ออยู่กับเสียงดนตรีที่ตนเองสร้างขึ้น ช่วงความสนใจของเด็กก็จะเพิ่มมากขึ้นทีละนิด ขี้นอยู่กับทำนองเพลงที่เด็กฝึกหัด เมื่อเริ่มแรกเด็กอาจฝึกหัดเพลงพื้นฐานสั้นๆ ช่วงความสนใจของเด็กอาจอยู่ในเวลา 1-2 นาที ลำดับต่อไปเด็กได้ฝึกเพลงที่มีความซับซ้อนมากขึ้นทีละนิด เด็กก็จะมีช่วงของความสนใจเพิ่มขึ้นเป็น 3-5 นาที และจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หากเด็กชอบและรักที่จะเล่นดนตรีทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกำลังใจที่ครูผู้สอนและพ่อแม่ผู้ปกครองจะกระตุ้นให้เด็ก เกิดความสนใจในดนตรีมากขึ้น การเสริมแรงจากครูและพ่อแม่ผู้ปกครอง เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดที่จะทำให้เด็กเพิ่มความสนใจในดนตรี และจะทำให้ช่วงความสนใจของเด็กเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลไปสู่การเรียนในห้องเรียน การทำการบ้าน การอ่านหนังสือ หรือการทำสิ่งต่างๆคุณพ่อคุณแม่หรือท่านผู้ปกครอง จึงควรหันมามองบุตรหลานของท่านสักนิด ว่าเด็กมีอาการใกล้เคียงเด็กสมาธิสั้นหรือไม่ หากใกล้เคียงควรปรึกษาแพทย์ หรือส่งเสริมให้เด็กเรียนดนตรี ศิลปะ ร้องเพลง เต้นรำหรือนั่งสมาธิ เพราะกิจกรรมเหล่านี้จะทำให้เด็กมีสมาธิเพิ่มมากขึ้น และหลีกเลี่ยงการให้เด็กดูโฆษณาที่มีภาพเคลื่อนไหวเปลี่ยนไปมารวดเร็ว เนื่องจากภาพเหล่านั้นจะไปกระตุ้นสมองทำให้เด็กมีภาวะสมาธิสั้นได้ง่ายอาการสมาธิสั้นสามารถบำบัดรักษาให้ดีขึ้นได้ เพียงแค่พ่อแม่ผู้ปกครองต้องให้ความเอาใจใส่กับเด็ก พูดคุย ซักถาม ให้เวลาในการทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันกับเด็ก ไม่ดุว่าหรือตี เพราะจะทำให้เด็กจดจำประสบการณ์ที่ไม่ดี และเด็กจะไม่เข้าใจว่าเขาทำอะไรผิด เนื่องจากอาการต่างๆ มาจากความผิดปกติของสมองหรือสารเคมีของร่างกาย ซึ่งตัวเด็กเองไม่สามารถควบคุมได้ พ่อแม่ผู้ปกครองและครูจึงเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดที่สามารถช่วยให้เด็กมี อาการดีขึ้นหรือหายขาดได้เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มา : http://www.banrakthai.com/น.ส.มณฑิภา มหายนต์ 484186113 48/186/1
คนนึงวิ่งตาม… อีกคนวิ่งหนีคนนึงฟุ้งซ่าน… อีกคนไม่คิดแถมอึดอัดคนนึงสนใจ ใส่ใจ ดูแล เป็นห่วง… อีกคนไม่เคยรู้สึกว่ามีค่าคนนึงโทรไปแล้วหาเรื่องคุย… อีกคนรับสายแล้วหาเรื่องวางคนนึงอยากเจอนานๆทีก็ยังดี… อีกคนทำงาน ไม่ว่างอยากพักคนนึงคิดถึงอีกคน… แต่อีกคนแกล้งทำเป็นไม่รับรู้
จาก นุ้ยจงกลกรค่ะ บทความนี้คัดลอกมาจากเว็บไซด์ http://www.9bbank.com/ ค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2553

เพลงกับเด็กปฐมวัย
แนวทางการจัดกิจกรรมเพลงสำหรับเด็กปฐมวัยเพลงจัดเป็นสื่อการเรียนรู้ที่สำคัญต่อพัฒนาการของเด็กปฐมวัย เช่นเดียวกับการเล่นและเล่านิทาน เนื่องจากเพลงช่วยสร้างเสริมให้เด็กเกิดความเพลิดเพลินและกล่อมเกลาให้เด็กเป็นคนมีจิตใจอ่อนไหว รักเสียงเพลงและดนตรี ทำให้ผ่อนคลายอารมณ์และรู้สึกมีชีวิตชีวาในการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งปลูกฝังค่านิยมวัฒนธรรม และมีลักษณะนิสัยที่ดีงามประเภทของเพลงสำหรับเด็กปฐมวัยเพลงเด็กมีหลายประเภทและหลายลักษณะตั้งแต่ในอดีตจนปัจจุบัน ทั้งที่มีมาแต่เดิมและมีการแต่งขึ้นใหม่สำหรับร้องเล่นทั่วไป เพื่อทำให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน ทั้งยังเป็นการอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทย ซึ่งแบ่งได้ดังนี้เพลงกล่อมเด็ก เป็นบทร้อยกรองหรือบทกลอนสำหรับกล่อมเด็กส่วนใหญ่มีเนื้อหาบรรยายชีวิต และความเป็นอยู่ที่สะท้อนถึงความเอื้ออาทรรักใคร่ผูกพันที่แม่มีต่อลูก ซึ่งจะพบเนื้อหาของเพลงแตกต่างกันไปตามท้องถิ่น ตัวอย่างเช่น เพลงกล่อมเด็กภาคอีสานว่า "แม่ไปไร่สิหมกไข่มาหา แม่ไปนาสิหาปลามาป้อน" เพลงกล่อมเด็กภาคกลาง "กาเหว่าเอย ไข่ไว้ให้แม่กาฟัก" เพลงกล่อมเด็กมักแฝงปรัชญาคำสอนไว้อย่างแยบคาย ให้คนได้คิดเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกที่ต้องให้ความรักเพลงประกอบเด็ก เป็นบทร้องร้อยกรอง / คำคล้องจอง หรือบทปลอบเด็กสำหรับร้องปลอบเด็กร้องไห้โยเยบ่อยให้เงียบ และเกิดความเพลิดเพลิน ตัวอย่างเช่น "กุ๊กๆ ไก่ เลี้ยงลูกจนใหญ่ ไม่มีนมให้ลูกกิน ลูกร้องเจี๊ยบๆ แม่ก็เรียกไปคุ้ยดิน ทำมาหากิน ตามประสาไก่เอย" เพลงปลอบเด็กนี้ จะต้องไห้เด็กฟังอย่างเดียวหรืออาจทำท่าทางประกอบด้วยก็ได้เพลงเด็กเล่นเป็นบทร้อยกรอง หรือบทร้องเล่นของเด็กที่เป็นบทกลอนสั้นๆทำนองง่าย ให้ได้ร้องเล่นเพื่อความสนุกสนาน หรือร้องล้อเลียนหยอกล้อกันเนื้อความบางส่วนอาจไม่มีความหมาย แต่มุ่งให้จังหวะคล้องจอง และสัมผัสที่ไพเราะเป็นการส่งเสริมให้เด็กเรียนรู้คำศัพท์ทางภาษามากขึ้น และฝึกนิสัยในการจำ ตัวอย่าง เช่น "ตั้งไข่ล้มต้มไข่กิน ไข่ตกดิน เก็บกินไม่ได้"บทร้องประกอบการเล่น เป็นร้องที่เป็นบทเพลงทำนองบทกลอนสั้นๆที่ร้องประกอบการละเล่น เพลงส่วนใหญ่ที่ใช้ร้องจะให้จังหวะ ให้ความพร้อมเพรียงในการเล่นเกม เนื้อเพลงบางเพลงยังอธิบายถึงวิธีการเล่นด้วย ตัวอย่างเช่น "มอญซ่อนผ้า ตุ๊กตาอยู่ข้างหลัง ไว้โน่นไว้นี้ ฉันจะตีก้นเธอ" "โพงพางเอย ปลาเข้าลอด ปลาตาบอด เข้าลอดโพงพาง" การละเล่นนี้ยังมีประโยชน์ในการออกกำลังกาย การเล่นร่วมกันการออกเสียงภาษา การรู้จักช่วยเหลือกัน และเสริมสร้างความรู้สึกสุนทรีย์จากสัมผัสคล้องจองไพเราะด้วยเพลงเด็กแต่งขึ้นใหม่ เป็นบทเพลงที่ใช้ประกอบการสอนเด็กปฐมวัยเป็นเนื้อเรื่องที่มีความหมาย และสามารถทำท่าทางประกอบร้องได้ เพื่อจูงใจให้เด็กรู้สึกสนุกสนานและเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ตัวอย่างเช่น เพลงดื่มนม เพลงเก็บของเล่น เพลงนิ้วมือจ๋า เพลงแปรงฟันการเลือกเพลงสำหรับเด็กปฐมวัยเพลงของเด็กควรมีเนื้อร้องง่ายๆ สั้นๆ คำซ้ำๆ เสียงไม่สูงหรือต่ำเกินไปทำนองง่าย จังหวะชัดเจนไม่ช้าหรือเร็วเกินไป และควรเลือกให้เหมาะกับพัฒนาการเรียนรู้และความสามารถทางภาษาของเด็ก โดยเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 3 ปี ควรเลือกบทร้องที่เป็นคำคล้องจองง่ายๆ ส่วนเด็กอายุ 3 ปีขึ้นไป เนื้อร้องอาจยาวขึ้นได้วิธีการแนะนำเพลงให้เด็กการปลูกฝังความสนใจในเพลงให้กับเด็ก ควรเริ่มต้นตั้งแต่เล็กโดยผู้ใหญ่ร้องเพลง หรือเปิดเพลงให้เด็กฟังอย่างสม่ำเสมอ ในช่วงแรกเด็กจะสนใจจังหวะและเคลื่อนไหวร่างกายตามจังหวะ และเริ่มจดจำเนื้อร้องในเพลงเมื่อได้ยินเพลงเดิมซ้ำบ่อยๆ ในการแนะนำเพลงให้กับเด็กควรดำเนินการ ดังนี้- นำเสนอเพลงที่มีเนื้อร้องสั้นๆ มีคำซ้ำๆ และมีทำนองง่าย โดยชักชวนให้เด็กฟังเพลงด้วยกันก่อน เด็กชอบฟังเพลงซ้ำๆ- เปิดโอกาสให้เด็กแสดงออกตามความต้องการ เด็กจะร้องตาม ถูกหรือผิดควรให้โอกาสเด็กได้เรียนรู้อย่างค่อยเป็นค่อยไปด้วยความมั่นใจ- ฝึกให้เด็กรู้จักเคาะจังหวะ เด็กมักมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเสียงจังหวะเพลง อาจให้เด็กปรบมือตามจังหวะ หรือเคาะเครื่องดนตรีโดยไม่คาดหวังความถูกผิด
คัดลอกจากบทความ http://www.maemaiplengthai.com/webboard/viewthread.php?tid=793