วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553

พัฒนาสมองลูกในท้องด้วยดนตรี


ดนตรีมีความผูกพันกับชีวิตของมนุษย์ตั้งแต่แรก เกิด เมื่อแม่ร้องเพลงกล่อมลูก ครั้นเติบโตขึ้นกิจกรรมต่างๆ เช่นการทำงาน การกีฬา พิธีกรรม ล้วนมีความสัมพันธ์กับดนตรีทั้งสิ้น กระทั่งสุดท้ายแห่งชีวิต ดนตรีก็ยังเข้ามามีบทบาท ดังนั้นดนตรีกับชีวิตมนุษย์จึงเป็นสิ่งผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้นและเอื้อ ประโยชน์ต่อกันค่ะดนตรีเพื่อพัฒนาสมอง ก็คือการใช้ดนตรีเป็นสื่อในการทำให้สมองพัฒนาและทำงานอย่างเต็มศักยภาพ และมีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะสมองเปรียบเสมือนศูนย์กลางแห่งชีวิต เมื่อพัฒนาสมองอย่างถูกต้องเหมาะสมด้วยความรู้และเข้าใจทั้งทางวิทยาศาสตร์ ศิลปะ และสุนทรียศาสตร์ ก็ย่อมจะทำให้ชีวิตของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น มีชีวิตที่มีคุณภาพและมีชีวิตที่ดีขึ้นและเนื่องจากชีวิตของมนุษย์ประกอบด้วยกายและใจ ซึ่งส่วนประกอบทั้งสองต้องอยู่ในสภาพสมดุล นั่นคือสุขภาพกายต้องสมบูรณ์แข็งแรง สุขภาพใจต้องแจ่มใสสดชื่นแข็งแรง ชีวิตจึงจะมีความสุขและดำเนินไปได้อย่างราบรื่นแต่ด้วยสภาวะแวดล้อมทางสังคม ทัศนคติที่มีต่อการเลี้ยงดูลูกในแนวเน้นให้ลูกเป็นคนเก่งโดยเฉพาะทางวิชาการ ไม่สำคัญเท่ากับการเป็นเด็กดีและมีความสุขค่ะ คิดแต่เพียงว่าวิชาการเท่านั้นจึงจะทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิตได้ การมองโลกในแง่ลบ การแข่งขัน การแย่งชิง และความเห็นแก่ตัวเอง เพื่อให้อยู่ในโลกที่ซับซ้อนในยุคของการมุ่งเน้นแต่ความเจริญทางวัตถุ ความสำเร็จในชีวิตวัดได้จากจำนวนปริมาณและการตีค่าของวัตถุ ส่งผลให้เกิดมลพิษต่อสภาวะแวดล้อมรอบตัวในสังคม เกิดมลพิษต่อชีวิตมนุษย์ ทำให้มนุษย์มีแต่ความเครียด และการแก่งแย่งชิงดีกันเพื่อความอยู่รอด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การดำเนินชีวิตตั้งแต่แรกเกิดเป็นไปในทางก่อ เกิดปัญหา ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และคุณภาพชีวิตของมนุษย์แต่นับเป็นเรื่องดีค่ะที่มีการศึกษาค้นคว้าเรื่องสมองกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เข้าใจความลึกลับซับซ้อน ตลอดจนความสำคัญของสมอง ซึ่งทุกคนมีในขนาดและน้ำหนักใกล้เคียงกัน แต่จำนวนของเซลล์สมองอาจไม่เท่ากัน ทำให้ได้เข้าใจในลักษณะของสรีระภายใน และการทำหน้าที่ควบคุมทำให้การดำเนินชีวิตเป็นไปได้อย่างสมดุล อันนำไปสู่การมองเห็นหนทางในการแก้ปัญหาของโลกและสังคมโดยรวมจากการศึกษาทำให้เรารู้ว่า เซลล์สมองของมนุษย์เริ่มพัฒนาและเพิ่มจำนวน ตั้งแต่แรกปฏิสนธิจนกระทั่งก่อนคลอด ซึ่งมีจำนวนของเซลล์สมองหรือ Neuron ประมาณร้อยล้านล้านเซลล์ทีเดียวค่ะ โดยเซลล์สมองจะมี 3 ส่วนคือ dendrite ซึ่งเหมือนนิ้วมือยื่นออกไปเพื่อรับกระแสประสาท axon ส่วนของเซลล์ที่ทำหน้าที่ส่งกระแสประสาทออกไปติดต่อเซลล์อื่นและ nucleus ของเซลล์สมอง เซลล์สมองของมนุษย์มีจำนวนใกล้เคียงกัน ไม่มีการเกิดขึ้นใหม่ ดังนั้นจำนวนของเซลล์สมองจึงมีแต่จะลดจำนวนลง ถ้าเกิดการตายหรือการสูญเสียของเซลล์สมองขึ้นส่วนการพัฒนาคุณภาพของสมองนั้น ที่ดีที่สุดคือการเพิ่มจำนวนกิ่งก้านสาขาของ dendrite ให้มาก เนื่องจาก dendrite ทำให้เกิด Brain Connections ซึ่งการเชื่อมติดต่อกันของเซลล์สมองยิ่งมีจำนวนมากเท่าไร คุณภาพของสมองจะดีขึ้นเท่านั้นค่ะ โดยเซลล์สมอง 1 ตัว สามารถเกิด Brain Connections ได้ถึง 25,000 จุด มนุษย์สามารถสร้าง dendrite ได้ตลอดชีวิต หากมีปัจจัยสำคัญต่างๆ ครบถ้วนสำหรับการพัฒนาสมอง ดังนั้นความรู้ใหม่ส่วนนี้จึงเป็นแนวทางที่สามารถจะพัฒนาคุณภาพทางสมองได้ โดยวิธีที่ถูกต้องและเหมาะสมในทุกช่วงของชีวิตได้งานวิจัยเกี่ยวกับ Aecellerate Learning ค้นพบว่า ดนตรีที่มีคุณภาพทั้งเสียงร้อง ทำนอง จังหวะ และความถี่ของเสียงจะช่วยกระตุ้นให้สมองของมนุษย์พัฒนาและทำงานได้ดี เนื่องจากทำให้เกิดการเพิ่มจำนวนของ dendrite ซึ่งเป็นส่วนของ Neuron ในการรับกระแสประสาท ยิ่งจำนวน dendrite มีมากเท่าใด การเกิด Brain Connections คือการเชื่อมโยงของเซลล์สมองต่างๆเป็นเครื่อข่าย (network) ก็จะก่อให้เกิดการทำงานที่สมบูรณ์ แข็งแรง และทรงพลานุภาพดนตรีที่เลือกสรรแล้วว่ามีคุณภาพทั้งเสียงร้อง ทำนอง จังหวะ และความถี่ของเสียงซึ่งมีผลงานวิจัยและเสนอผลงานออกมาอย่างต่อเนื่องใน มหาวิทยาลัย John Hopkins โดยมี Kenedy Kreger center ซึ่งเป็นศูนย์ทดลองวิจัยต่างๆ โดยเฉพาะในเรื่องสมองและการเรียนรู้ที่เกี่ยวกับดนตรี ซึ่งมีข้อสรุปของผลงานวิจัยโดยผู้เขียนนำเสนอตามลำดับช่วงชีวิตของมนุษย์ เริ่มตั้งแต่ทารกในครรภ์ (Prenatal) วัยทารก (Neonatal) จนถึงวัยเตาะแตะ (0-3) จากช่วงอายุ 4-8 ปี, ช่วงวัยรุ่น ผู้ใหญ่ และวัยชรา และการนำดนตรีเป็นสื่อในการจัดการเรียนการสอนให้เกิดประโยชน์สูงสุดของการ เรียนรู้สำหรับเด็กปกติ และเด็กที่มีความต้องการเป็นพิเศษเป็นตอนๆ ไปตามลำดับหัวใจหลักก็คือคุณภาพของดนตรีที่เลือกสรรแล้ว จะกระตุ้นสมองของมนุษย์ในการหลั่งสารแห่งความสุข หรือ Endorphin เพิ่ม มากขึ้นค่ะ ทำให้การทำงานของระบบต่างๆในร่างกาย เช่น ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบทางเดินหายใจ ระบบการย่อยอาหาร ระบบทางเดินปัสสาวะ ระบบสืบพันธุ์และระบบประสาท ทำงานได้ดีขึ้น ทำให้สมองได้รับออกซิเจนและอาหารอย่างเต็มที่ ดนตรีช่วยเพิ่มความจำ เพิ่มสติปัญญาและก่อให้เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ นอกจากนั้นดนตรียังสามารถช่วยให้สุขภาพของร่างกายและจิตใจสมบูรณ์ขึ้นอีก ด้วยค่ะส่วนเรื่องดนตรีเพื่อพัฒนาสมองสำหรับทารกในครรภ์นั้น เมื่อเกิดการปฏิสนธิในครรภ์มารดา ระบบประสาทส่วนกลาง คือสมองและไขสันหลังจะเริ่มพัฒนาก่อนระบบอื่นๆ ในช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของการตั้งครรภ์ ต่อจากนั้นอวัยวะและระบบการทำงานของร่างกายด้านอื่นๆ จึงเริ่มพัฒนาต่อไป ทารกในครรภ์มารดาเริ่มได้ยินเสียงแล้วเมื่ออายุครรภ์ 5 เดือน เสียงของการทำงานของอวัยวะต่างๆ ของมารดา เช่น หัวใจ ปอด การเผาผลาญอาหารและลำไส้ เสียงเหล่านี้เปรียบเหมือนวงดนตรีวงใหญ่ที่บรรเลงดนตรีกึกก้องในครรภ์มารดา และเป็นบทเพลงบทแรกๆ ของชีวิตทารกที่ได้ยินค่ะมีการทดลองโดยนำดนตรี 2 ประเภทมาให้ทารกในครภ์มารดาฟัง โดยแนบแถบบันทึกเสียงไว้กับท้องของมารดา ดนตรีประเภทแรกเป็นดนตรีคลาสสิก (Classic) บรรเลงโดยวงออเคสตร้าทั้งวง มีจังหวะความเร็วประมาณ 90-100 ครั้งต่อนาที ซึ่งมีจังหวะความเร็วใกล้เคียงกับอัตราการเต้นของหัวใจทารก และความดังของเสียงไม่เกิน 60 เดซิเบล แล้วสังเกตปฏิกิริยาของทารกจากเครื่องอัลตราซาวนด์ พบว่าทารกจะขยับแขนขาไปมามีจังหวะ พร้อมไปกับจังหวะเพลงและค่อยๆ สงบลงและดนตรีชนิดที่สองคือดนตรีประเภทฮาร์ดร็อก (Hardrock) ทำนองและความเร็วไม่สม่ำเสมอ เดี๋ยวเร็วเดี๋ยวช้า ความดังของเสียงเกิน 80 เดซิเบลขึ้นไป มีเสียงกลองตีรัวดังๆ พบว่าทารกจะขยับแขนขาอย่างไม่เป็นจังหวะ มีอาการดิ้นทุรนทุราย และไม่เกิดความสงบ ดังนั้น เสียงต่างๆ โดยเฉพาะดนตรีที่มีเสียงสูงต่ำ ดังเบา เร็วช้า เป็นต้น มีอิทธิพต่ออารมณ์ของทารกตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา จนกระทั่งลืมตาออกมาดูโลกในขณะเดียวกัน คุณแม่จะได้รับอิทธิพลของดนตรีที่ฟังด้วย การที่ได้ฟังดนตรีที่มีจังหวะความเร็วใกล้เคียงกับความเร็วของจังหวะการเต้น ของหัวใจ จะทำให้อารมณ์ของคุณแม่สงบเยือกเย็น ผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ มีสาร Endorphin หลั่งในกระแสโลหิต ทำให้ระบบต่างๆ ของร่างกายทำงานได้ดีขึ้นด้วยค่ะ



น.ส.เสาวลักษณ์ พ่วงสมบูรณ์ 48/186/1 รหัส 484186128


4 ความคิดเห็น:

  1. เราคิดว่านะตัวอักษรมันอ่านไม่ได้ปวดตามากๆๆๆหรือเอามาโพสเฉยๆๆๆ

    ตอบลบ
  2. ดิฉันมีความคิดเดียวกับคุณเลยค่ะ

    ดนตรีนั้นจะช่วยพัฒนาสมองของเด็กได้ตั้งแต่ตอนที่เด็กอยู่ในครรภ์มารดาเลย

    ตอบลบ
  3. มีข้อสรุปของผลงานวิจัยว่าตามลำดับช่วงชีวิตของมนุษย์ เริ่มตั้งแต่ทารกในครรภ์ วัยทารก จนถึงวัยเตาะแตะ (0-3) จากช่วงอายุ 4-8 ปี, ช่วงวัยรุ่น ผู้ใหญ่ และวัยชรา และการนำดนตรีเป็นสื่อในการจัดการเรียนการสอนให้เกิดประโยชน์สูงสุดของการ เรียนรู้สำหรับเด็กปกติ และเด็กที่มีความต้องการเป็นพิเศษเป็นตอนๆ ไปตามลำดับหัวใจหลักก็คือคุณภาพของดนตรีที่เลือกสรรแล้ว จะกระตุ้นสมองของมนุษย์ในการหลั่งสารแห่งความสุข หรือ เพิ่ม มากขึ้นค่ะ

    ตอบลบ
  4. ผลจากคุณค่าของเสียงดนตรีที่มีต่อการพัฒนาทางด้านจิตใจของเด็ก นักจิตวิทยาสังคมต่างให้การยอมรับและได้กล่าวถึงคุณค่าของดนตรีไว้ว่า

    1. ดนตรีก่อให้เกิดความสว่างแก่จิตใจ ( Enlightenment)
    2. ดนตรีก่อให้เกิดความสุข ( Well - Being)
    3. ดนตรีก่อให้เกิดความผูกพันรักใคร่ ( Affection)

    ดนตรีเป็นศาสตร์ หรือวิชาที่ทำให้เด็กระดับปฐมวัยได้รับการพัฒนาทุก ๆ ด้านของการเจริญเติบโต ไม่ว่าจะเป็นความรู้ ความจำ สังคม ค่านิยม การคิดหาเหตุผล การสร้างสรรค์ การพัฒนากล้ามเนื้อ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การพัฒนาตนเองให้เข้ากับกลุ่ม หรือสภาพแวดล้อมของสังคมต่าง ๆ ดนตรีจึงน่าจะเป็นวิชาเดียวเท่านั้นที่ทำให้เด็กสนุกสนานรื่นเริงอย่างเต็มที่ ทั้งการแสดงออกทางร่างกาย ความคิด ตลอดจนพัฒนาการทางจิตใจ อารมณ์ และนอกจากนี้ ดนตรีนอกจากนี้ ดนตรียังสามารถนำไปสัมพันธ์ เชื่อมโยงหรือบูรณาการ กับวิชาการ องค์ความรู้ และกิจกรรมต่าง ๆ แก่เด็กปฐมวัยอย่างสำคัญทีเดียว ประการสำคัญดนตรีเป็นตัวจักรสำคัญที่ใช้ในการเสริมสร้างพัฒนาการด้านต่างๆ ของเด็กปฐมวัย

    ตอบลบ